ร่วมงานกับเรา
ข่าวสารรถจักรยานยนต์ทั่วไป > 2550 > บิ๊กไบค์ปะทะสองบิ๊ก
บิ๊กไบค์ปะทะสองบิ๊ก
ที่มา - ผู้จัดการรายวัน วันที่ 4 ธ.ค.50

"รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่หรือบิ๊กไบค์" ในเมืองไทยยังรู้จักและใช้กันเฉพาะกลุ่มเล็กๆ ซึ่งที่ผ่านมาการรวมกลุ่มกันของผู้มีใจรักบิ๊กไบค์เหล่านี้ บางครั้งถูกมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ใครเล่าจะรู้ความจริงว่า การรวมกลุ่มกันแล้วขับท่องเที่ยวไปพร้อมๆ กันนั้นมีจุดประสงค์เพื่อสร้างสรรค์สังคมพร้อมทั้งเป็นแบบอย่างให้แก่เยาวชน (โดยเฉพาะ แก๊งซิ่ง เด็กแว้น สาวสกอยซ์)

วันนี้ "ผู้จัดการมอเตอริ่ง ไลท์" ขอเปิดใจสองสาวกบิ๊กไบค์ คีย์แมนคนสำคัญในการรวมตัวกันของบิ๊กไบค์กลุ่มใหม่ ภายใต้เจตนารมณ์เพื่อสังคมที่ดีขึ้น และพูดคุยถึงเรื่องราวของเขากับรถคันโปรด คนแรกเป็นผู้บริหารระดับสูงในแวดวงยานยนต์ ส่วนอีกหนึ่งเป็นขวัญใจวัยโจ๋ที่มาแรงที่สุดในยุคนี้

+ ประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์
"กิจกรรมการท่องเที่ยวด้วยบิ๊กไบค์ เริ่มต้นมาจากนโยบายของยามาฮ่าที่ผู้บริหารจะต้องได้สัมผัส และรับทราบถึงความรู้สึกของรถคันนั้น ด้วยตัวเองเสียก่อนจะทำตลาด ครั้นจะขับคนเดียวก็คงจะเหงา เราจึงรวมกลุ่มกันในหมู่คนรู้จักมาขับรถบิ๊กไบค์ ท่องเที่ยวกันดู" คำกล่าวของคุณ ประพันธ์ เอ่ยถึงที่มาที่ไปของการได้มาขับรถแบบ "บิ๊กไบค์"

และกล่าวต่อว่า ในยุโรปหรืออเมริกา ส่วนใหญ่จะใช้เป็นรถจักรยานยนต์แบบบิ๊กไบค์กันทั้งนั้น ส่วนเมืองไทยรถแบบบิ๊กไบค์ยังเป็นที่รู้จักน้อย แต่เริ่มมีการรวมกลุ่มกันในหลายพื้นที่เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ สำหรับกรุงเทพฯ ก็มีหลายกลุ่ม ซึ่งอนาคตหากการรวมกลุ่มกันเริ่มเหนียวแน่นขึ้น ทางยามาฮ่าอาจจะตั้งคลับอย่างเป็นทางการเพื่อเป็นสื่อกลางให้แก่กลุ่มผู้ใช้รถบิ๊กไบค์ทุกคน

"การรวมกลุ่มกันเป็นสิ่งที่ดี บางครั้งเราจัดกิจกรรมเดินทางแบบคาราวานบิ๊กไบค์ เพื่อไปทำบุญและท่องเที่ยวร่วมกัน ทำประโยชน์ต่อสังคม จะว่าเป็นการขับไปเรื่อยเปื่อยไร้สาระคงไม่ถูกต้อง ที่สำคัญเราเปิดกว้างสำหรับบิ๊กไบค์ทุกคัน ทุกยี่ห้อ ไม่ใช่เน้นทำแต่ธุรกิจเพียงอย่างเดียว"

ซึ่งสมาชิกในกลุ่มปัจจุบันมีประมาณเกือบ 20 คน สำหรับคนดังๆ เช่น โบ๊ต(ลูกอาบู๊ วิบูลย์นันท์), ตูน บอดี้แสลม และสมาชิกคนล่าสุดสดๆ ร้อนๆ บอล ภราดร ศรีชาพันธุ์

สำหรับรถบิ๊กไบค์ คุณประพันธ์จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ (เพราะต้องลองให้ครบทุกรุ่นตามนโยบายบริษัทฯ)แต่ที่ขับบ่อยคือรุ่น อาร์1 (R1) และ อาร์6(R6) ส่วนชอบที่สุดมีหลายรุ่นแตกต่างกันโดยจะชอบสไตล์การออกแบบของรุ่น อาร์1 และเป็นรุ่นขับความเร็วสูงได้ดีมาก ส่วนรุ่นเฟเซอร์ (Fazer) ขับง่าย นั่งสบาย

ด้านวิธีการขับเริ่มต้นจากเข้าอบรมการขับขี่บิ๊กไบค์อย่างถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญของยามาฮ่า และเมื่อได้ลองขับจริง ความรู้สึกไม่ยาก ไม่ง่าย ขึ้นกับชั่วโมงบินหรือประสบการณ์ เป็นสำคัญแต่ถ้ารถเยอะก็ขับยากเหมือนกัน ส่วนคุณประพันธ์ขอจัดตัวเองอยู่ในประเภท รุกกี้ (Rookie) หรือนักขับหน้าใหม่ เน้นการขับขี่เพื่อสนุก ไม่เสี่ยง ความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง อาจจะมีเร้าใจบ้างเมื่อโอกาสอำนวย

สำหรับรถที่ใช้งานในปัจจุบันจะมีรถประจำตำแหน่ง 1 คัน ขณะที่รถส่วนตัวจะเป็น เลกซัส อาร์เอ็กซ์ 300 (โตโยต้า แฮร์ริเออร์) เนื่องจากเป็นคนชอบรถคันใหญ่ซึ่งจะใช้งานในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เมื่อก่อนเคยขับ จี๊ป แต่ตอนนี้ไม่ไหวเพราะกินน้ำมันมาก

อีกคันที่ใช้บ่อยคือ "ยามาฮ่า มีโอ" ออกตั้งแต่รุ่นแรก ตอนนี้แต่งเป็น Rossi 46 สไตล์ตัวแข่งของยามาฮ่า จะขับบริเวณใกล้บ้าน เช่นไปซื้อก๋วยเตี๋ยว อนาคตคงจะเปลี่ยนเป็นฟีโน่ (หัวเราะ)

"จริงๆ ถ้ารถยนต์ชอบ มินิ เพราะมีกลิ่นอายของความคลาสสิก คล้ายกับฟีโน่ ของ ยามาฮ่า ตอนที่คิดแผนทำตลาดฟีโน่ นึกถึงมินิตลอด ส่วนรถในฝันสักครั้งในชีวิตขอนั่งในรถแข่ง F1 แค่นั้นพอ"

+ ตูน บอดี้แสลม
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าเขาเป็นใคร "ตูน บอดี้แสลม" เจ้าของเพลงฮิตมากมาย ล่าสุดกับ "ยาพิษ" และ "อกหัก" ที่วัยรุ่นทั่วประเทศใครร้องไม่ได้ถือว่า เชยโค-ต-ร

"นับว่าเป็นโชคดี ที่มาเป็นพรีเซ็นเตอร์และร่วมงานกับยามาฮ่า ทำให้รู้จักกับสังคมของคนขี่บิ๊กไบค์ เกิดความรู้สึกอบอุ่นและประทับใจในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จึงไม่ลังเลควักเงินซื้อรถบิ๊กไบค์เป็นของตัวเอง" ตูน เอ่ยถึงที่มาของการเป็นเจ้าของและร่วม ก๊วนบิ๊กไบค์

ก่อนซื้อตูนบอกว่า เลือกอยู่หลายรุ่น ทดลองขี่ก่อน จนมาชอบใจรูปทรงและสมรรถนะของ อาร์1 (R1) ขับแล้วรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรถ ใช้มาประมาณ 1 ปี ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยน เพราะตัวเองเป็นคนขับรถไม่ซิ่ง ใช้ความเร็วของรถได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และบางครั้งถือว่าขับเหนื่อยพอสมควรจึงตัดสินใจขายและซื้อคันใหม่

สุดท้ายมาลงตัวที่ เอ็มที-01 (MT-01) ด้วยเหตุจากพี่ในยามาฮ่าแนะนำให้ลองขับดู พอได้ลอง เลยชอบเพราะตรงกับสภาพการใช้งานจริงของตัวเอง มีความเป็นสปอร์ตทั่ว ทั้งคัน เวลาขับช้าๆ ไม่น่ารำคาญ ควบคุมได้ดั่งใจ เรียกว่า ขับช้าก็สนุก ขับเร็วก็สนาน ซึ่งถ้าเป็น อาร์1 ต้องขับเร็วอย่างเดียวถึงจะสนุก แต่คงไม่เหมาะถ้าจะใช้บิ๊กไบค์ในเมืองเป็นประจำเนื่องจากรถค่อนข้างหนักสักหน่อย

"รถบิ๊กไบค์ผมจะใช้ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เพื่อผ่อนคลายความเครียด การขับบิ๊กไบค์ท่องเที่ยวไม่ใช่เรื่องไร้สาระ เราเดินทางไปทำประโยชน์ให้แก่คนอื่น และได้รีแลกซ์ตัวเองเป็นของแถมอีกด้วย ส่วนเวลาไปไหนปกติผมชอบเดิน(ด้วยเท้า) จะใช้บริการรถสาธารณะบ้าง บางครั้งขึ้นรถเมล์มีน้องๆ แฟนเพลงมองและทำท่าว่าจะเข้ามาถาม ผมก็จะชิงลงก่อน (ไม่ใช่อะไรกลัวโดนยืมตังค์ หัวเราะ) เพราะส่วนมากจะนั่งแค่ 2-3 ป้ายก็ถึงที่หมาย"

สำหรับรถยนต์ส่วนตัว ตูน มีอยู่ 1 คัน เป็น มาสด้า ทรีบิวต์ จะใช้งานบ้างเฉพาะตอนที่ต้องขนเครื่องดนตรี เนื่องจากชีวิตส่วนใหญ่อาศัยการเดินเป็นหลัก

สิ่งสำคัญที่ตูนอยากฝากถึงสาวกมอเตอร์ไซค์ทุกคนคือ "อย่าประมาท ดูว่าเราใช้รถเพื่ออะไร สนุกต้องคู่กับปลอดภัย เข้าใจนะครับว่า ชีวิตมันต้องมีนอกกรอบบ้าง แต่อยากให้มองไปถึงอนาคตด้วย คิดถึงพ่อ แม่ คนรอบตัว ให้มากๆ พยายามคิดถึงคนอื่นเยอะก่อนจะทำอะไรลงไป แล้วเก็บสิ่งนั้นไว้เป็นประสบการณ์ช่วงหนึ่งในลิ้นชักใจ"

การรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างสรรค์และทำประโยชน์ให้แก่สังคมเป็นสิ่งที่ดี สมควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง หลังสังคมไทยของเราต้องบอบช้ำมามากจากการปล่อยปละละเลยไม่ดูแลซึ่งกันและกัน ขอฝากเอาไว้เพื่อเป็นกำลังใจสำหรับทุกคน "ชีวิตแค่โดนทำร้าย แต่ที่สุดมันต้องไม่โดนทำลาย"