ร่วมงานกับเรา
ข่าวสารรถจักรยานยนต์ทั่วไป > 2548 > สองล้อสัญชาติไทยเชื้อสายจีน แพล็ททินัม วันหนึ่งเราจะโกอินเตอร์
สองล้อสัญชาติไทยเชื้อสายจีน แพล็ททินัม วันหนึ่งเราจะโกอินเตอร์
ที่มา - กรุงเทพธุรกิจ Biz Week วันที่ 9-15 ก.ย.48

กว่า 8 เดือน ของการเปิดตัว "แพล็ททินัม" รถจักรยานยนต์เชื้อสายจีน ไม่ปรากฏรายงานยอดจำหน่ายในตารางของ การรายงานยอดจำหน่ายประจำเดือนที่เผยแพร่ต่อสื่อมวลชน เหตุผล คือ สถิติยังน้อยเกินไป ที่จะรวมเอา แพล็ททินัม เข้าไปไว้ด้วย แต่หากดูกิจกรรมความเคลื่อนไหวของ แพล็ททินัม น่ากลัวไม่น้อยสำหรับค่ายรถญี่ปุ่นที่วันหนึ่งสองล้อจากจีน จะผงาดเป็นหนึ่งในตารางผู้ครอบครองตลาด

ตลาดรถจักรยานยนต์ในบ้านเรา ปัจจุบันมีผู้ครองตลาดอยู่ไม่กี่ราย ได้แก่ อันดับหนึ่ง ฮอนด้า ที่ครองส่วนแบ่งตลาดต่อปีมากกว่า 70% และมียอดขายรวมกว่า 1.3-1.4 ล้านคัน/ปี จากตลาดรวม 2 ล้านคัน ตามมาด้วย ยามาฮ่า ที่ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 15% และ ซูซูกิ ประมาณ 10% ที่เหลือเป็นยี่ห้อ อื่นๆ ที่มีส่วนแบ่งตลาดน้อยมากเช่น คาวาซากิ ไทเกอร์ เจอาร์ดี เป็นต้น ตลาดรถจักรยานยนต์ดำเนินมาในรูปแบบนี้หลายปีแล้ว แต่ในอนาคตทิศทางตลาดอาจจะเปลี่ยนแปลงไป จากผู้เล่นหน้าใหม่ที่มีอาวุธสำคัญที่มี "ราคา" เป็นตัวนำ

นายสมนึก วิทยารักษ์สรรค์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แพลทินัม มอเตอร์ เซลส์ จำกัด ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ แพล็ททินัม (Platinum) รถจักรยานยนต์จากจีน กล่าวว่า หลังจาก แพล็ททินัม เปิดตัวทำตลาดในเมืองไทยมาได้ประมาณ 8 เดือน สามารถทำยอดจำหน่ายได้เกินกว่าที่คาดไว้ คือ ประมาณ 1 แสนคัน และสิ้นปีนี้คาดว่าน่าจะทำได้ 2 แสนคัน ซึ่งตัวเลขดังกล่าวใกล้เคียงกับเบอร์ 2 หรือ 3 ในตลาด ที่มียอดขายแต่ละปีอยู่ที่ประมาณ 2.5-3 แสนคัน

แพล็ททินัม เป็นหน้าใหม่ในตลาดสองล้อเมืองไทย โดยมีรากฐานของรถเป็นสินค้าจากประเทศจีน ซึ่งในแดนมังกรนั้นใช้ชื่อ หังซิม (Hensim) และได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีน เดิมทีหังซิม เป็นโรงงานผลิตรถยนต์ให้แก่ค่ายรถจากประเทศญี่ปุ่น อาทิ ฮอนด้า ซูซูกิ คาวาซากิ เป็นต้น และก็เป็นเหมือนหลายๆ อุตสาหกรรมของจีน ที่ทางรัฐบาลสนับสนุนให้ผลิตยี่ห้อของตนเอง หลังจากที่ได้เรียนลัดเทคโนโลยีการผลิตจากทางเจ้าของเทคโนโลยีอย่างญี่ปุ่นแล้ว หังซิมก็ผลิตรถขึ้นมาเองในแบบ "จีนทำจีนใช้"

การเติบโตของรถจักรยานยนต์จีน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อค่ายรถจักรยานยนต์จากญี่ปุ่นที่เคยมีส่วนแบ่งตลาดกว่า 99% เมื่อกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ถึงวันนี้สัดส่วนลดลงเหลือเพียง 3-4% ที่เหลือเป็นสินค้าของจีนเอง

นายสมนึก กล่าวว่า แพล็ททินัม เป็นรถจักรยานยนต์ที่มีจุดเด่นคือ "ราคาสมเหตุสมผล" มีราคาต่ำกว่ารถของญี่ปุ่นที่อยู่ในท้องตลาดถึง 40% และในส่วนราคาที่ต่ำกว่านั้น ลูกค้ายังได้สิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าอีกด้วย อาทิ สัญญาณกันขโมย วิทยุ กุญแจรีโมตทุกรุ่น เป็นต้น

"หลายคนพยายามบอกว่า แพล็ททินัม เป็นรถจีน และสินค้าจีนทุกชนิดไม่มีคุณภาพ และยังห่างชั้นจากสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่นต้นกำเนิดมาก แต่สิ่งที่อยากตั้งเป็นคำถามย้อนกลับคือ หากสินค้าไม่มีคุณภาพจริงแม้ราคาถูกก็อยู่ในตลาดไม่ได้ และแบรนด์ญี่ปุ่นคงไม่เหลือแชร์เพียงน้อยนิดในตลาดจีน" นายสมนึก กล่าวและว่าตลาดรถจักรยานยนต์กว่าครึ่งหนึ่งของโลกอยู่ที่จีน มีกำลังการผลิตรวมกันประมาณ 30 ล้านคัน และนอกจากเทคโนโลยีที่เคยรับจ้างผลิตให้ญี่ปุ่นแล้ว งบการวิจัยและพัฒนาต่อปีก็สูงมากด้วย

นายสมนึก กล่าวว่าสำหรับ แพล็ททินัม ในไทย กล่าวได้ว่าเป็นรถของไทย หรือ โลคอล แบรนด์ เนื่องจากปัจจุบันการผลิตมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (local content) มากกว่า 40% และภายใน 5 ปีนับจากนี้จะเพิ่มให้ได้ 100%

ทุ่ม 1,200 ล. เพิ่มกำลังผลิต ขึ้นแท่นเบอร์สอง
นายสมนึก กล่าวว่าบริษัทได้ลงทุนกว่า 1,200 ล้านบาท ในการก่อสร้างโรงงานและเพิ่มเครื่องจักรแห่งใหม่ บนเนื้อที่ 600 ไร่ ที่จังหวัดจันทบุรี โดยได้รับการสนับสนุนการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อีกด้วย ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ในต้นปีหน้า และจะทำให้กำลังการผลิตรวมขึ้นมาอยู่ที่ 4 แสนคัน/ปี ซึ่งจะทำให้ แพล็ททินัม สามารถครองส่วนแบ่งตลาดได้ในอันดับที่ 2 ทั้งนี้ ปัจจุบัน โรงงานผลิตรถจักรยานยนต์ แพล็ททินัม ตั้งอยู่ที่อำเภอบางปะกง จังหวัดชลบุรี ด้วยกำลังการผลิต 2 แสนคัน/ปี

นายสมนึก กล่าวว่าในแง่ของการขาย คาดว่าสิ้นปีนี้รายได้รวมของ แพล็ททินัม จะอยู่ที่ 8,000 ล้านบาท นอกจากนั้นบริษัทก็พยายามหาช่องทางการขายใหม่ๆ เช่นการเตรียมการเซ็นสัญญาขายรถผ่านคุรุสภา ให้แก่ครูทั่วประเทศอีกมากกว่า 1 แสนคัน มูลค่ามากกว่า 5,000 ล้านบาท ส่วนเครือข่ายจำหน่ายทั่วไป ที่ปัจจุบันมีศูนย์บริการและตัวแทนจำหน่าย 100 แห่ง ก็จะขยายเพิ่มให้ได้ 500 แห่งทั่วประเทศ ในปีหน้าอีกด้วย

ยกเครื่องการตลาด เน้นสินค้ามากกว่าโฆษณา
นายสมนึก กล่าวว่าปัจจุบันตลาดรถจักรยานยนต์ในเมืองไทย คนไทยไม่มีตัวเลือกมากนัก และจำเป็นต้องใช้รถที่มีราคาแพงกว่าที่ควรเป็น เนื่องจากค่าการตลาดและโฆษณาสูงมาก มีการจ้างพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นซูเปอร์ สตาร์ ค่าตัวแพง โหมกิจกรรมและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่ออย่างมาก แต่ แพล็ททินัม จะไม่ทำอย่างนั้น จะเน้นไปที่เด็กรุ่นใหม่ และเป็นผู้ที่อยู่ในวงการศึกษา โดยเตรียมออกงานโฆษณาชุดใหม่เช่นกัน แต่จะทำในสัดส่วนที่พอประมาณ ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ก็จะจัดขึ้นประกอบไปด้วย แต่จะเลือกเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น เช่น แพล็ททินัม คลับ

"เราต้องการยกเครื่องการตลาดสองล้อใหม่ ให้มุ่งไปที่ตัวสินค้าให้มาก เพื่อประโยชน์แก่ผู้บริโภคสูงสุด"
ในส่วนของธุรกรรมทางการเงิน แพล็ททินัม จะไม่ทำตามแบบใคร โดยเฉพาะในรูปแบบที่ผู้นำตลาดที่เป็นค่ายรถญี่ปุ่นทำกันอยู่ เพราะเห็นว่าการคิดอัตราดอกเบี้ยเงินผ่อนอย่างที่ทำกันอยู่นั้นเอาเปรียบลูกค้าเกินไป โดยรวมแล้วเมื่อคำนวณกลับจากเงินต้นที่เป็นราคาจำหน่ายจริงนั้น ทำให้ลูกค้าต้องจ่ายเพิ่มในส่วนของดอกเบี้ยอีก 30% ต่อปี แต่ทาง แพล็ททินัม นั้นคิดเพียง 8% ต่อปี แต่รายได้ของดีลเลอร์ก็ยังจะดีเช่นเดิม เนื่องจาก แพล็ททินัม ให้ค่าธรรมเนียมทางการขายสูง

"แพล็ททินัม ให้ค่าขายรถต่อคันที่ 2,000 บาท แต่ค่ายรถญี่ปุ่นให้เพียง 500 บาท เราทำได้เพราะเราถือว่าเป็นธุรกิจของคนไทยด้วยกัน เงินที่ได้ก็ไม่รั่วไหลไปไหน ยังหมุนเวียนอยู่ในประเทศ ต่างจากบริษัทญี่ปุ่นที่ได้ขายของได้กำไรก็ขนกลับประเทศกันหมด" นายสมนึก ระบุ

ตั้งเป้า 2 ปีเข้าตลาดหุ้น
นายสมนึก กล่าวต่อว่า แผนงานในระยะยาวคือการเข้าจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน แล้วเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำเงินมาขยายธุรกิจผลิตรถจักรยานยนต์ให้มีความมั่นคงและเสถียรภาพ หากค่ายผู้ผลิตจากญี่ปุ่นมีการย้ายฐานการผลิตหนีไปเมื่อใด ประเทศไทยก็ยังคงสามารถผลิตรถจักรยานยนต์ใช้เอง โดยที่วัตถุดิบในการผลิตรวมทั้งแรงงาน และเทคโนโลยีเป็นของท้องถิ่นทั้งหมด นอกจากนี้ หลังการเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็จะแบ่งหุ้นให้ดีลเลอร์ด้วย

นอกจากนี้ แพล็ททินัม ก็ยังมีเป้าหมายที่จะขยายไปยังตลาดต่างประเทศด้วย หลังจากที่ได้เริ่มต้นทดลองส่งออกไป ลาว กัมพูชา และพม่าเฉลี่ยตลาดละประมาณ 1,000-2,000 คัน โดยมีการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายในประเทศดังกล่าว เปิดดีลเลอร์ที่เป็นพันธมิตรในประเทศเหล่านั้น และหากการขยายกำลังการผลิตทำได้เพิ่มขึ้น การส่งออกก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย พร้อมกับการขยายไปยังตลาดใหม่ ซึ่งที่มองไว้ก็คือ เวียดนาม

"เรามั่นใจว่า แพล็ททินัม จะโกอินเตอร์ในฐานะแบรนด์ของคนไทยได้ในอนาคตอันใกล้นี้" นายสมนึกกล่าวทิ้งท้าย