ร่วมงานกับเรา
ข่าวสารรถจักรยานยนต์ทั่วไป > 2549 > มอเตอร์ไซค์ปีจอระอุ กระแสออโตแรงไม่เลิก
มอเตอร์ไซค์ปีจอระอุ กระแสออโตแรงไม่เลิก
ที่มา – ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 9-11 ม.ค.49

แม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่ายที่มีความเกี่ยวข้องกับแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ และวงการรถจักรยานยนต์เอง ที่มองว่าตลาดรถจักรยานยนต์ไทยได้เข้าสู่ภาวะที่หดตัว หรือไม่มีอัตราการเจริญเติบโต แต่หนึ่งขวบปีที่ผ่านมา บรรดาค่ายมอเตอร์ไซค์ต่างได้แสดงและพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า รถจักรยานยนต์ยังคงเป็นดัชนีชี้วัดสภาพเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะในระดับที่เรียกว่า "รากหญ้า"

ปัจจุบันมีรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยประมาณ 16 ล้านคัน เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากร 60 ล้านคน ส่งผลให้อัตราการครอบครองรถจักรยานยนต์ของประเทศไทย เฉลี่ยอยู่ที่ 4 คนต่อ 1 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีอัตราการครอบครองรถจักรยานยนต์อยู่ที่ 2 คนต่อ 1 คัน จากอัตราส่วนดังกล่าวถือว่าเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียง โดยประเทศไทยมีกำลังการผลิตรถจักรยานยนต์ต่อปีอยู่ที่ 2.2 ล้านคัน และในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.3 ล้านคัน ซึ่งอัตราการเติบโตของจักรยานยนต์ในประเทศไทยนั้นมีอัตราการเติบโตไปตาม GDP คือประมาณ 3-4% ต่อปี คือประมาณ 2.2-2.3 ล้านคัน โดยเชื่อว่าจะยังคงมีอัตราการเจริญเติบโตไปประมาณนี้ เนื่องจากรายได้ประชาชาติต่อหัวถ้าเกิน 3,000 เหรียญสหรัฐ ก็จะมีรายได้และกำลังซื้อเพียงพอที่จะหันไปเลือกซื้อรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (เก๋ง) ซึ่งวันนี้รายได้ต่อหัวของคนไทยใกล้ถึงแล้ว

แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตรถจักรยานยนต์ที่สำคัญของภูมิภาค โดยมีทั้งในส่วนของการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ และการผลิตเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ รวมถึงการส่งออกชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ที่เราสามารถผลิตได้เกือบหมด ซึ่งเราส่งออกไปเกือบ 2 แสนคัน และส่งออกเป็น CKD ประมาณ 1.3 ล้านชุด โดยในช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาเราส่งออกชิ้นส่วนไปสูงถึง 1.1 ล้านชุด ซึ่งเราเป็นฐานการผลิตให้กับเวียดนาม, อินโดนีเซีย

เกาะกระแส "ออโตเมติก" ค่ายใหญ่เตรียมขอแบ่งแชร์
ภายในระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา รถจักรยานยนต์ประเภทเกียร์อัตโนมัติ ถือว่าเป็นรถที่ได้รับความนิยม และมีกระแสตอบรับค่อนข้างดีจากกลุ่มผู้บริโภค แต่รถที่ยังคงมีส่วนแบ่งในตลาดของบ้านเราอันดับต้นๆ ยังคงเป็นรถประเภท ครอบครัว ที่ครองส่วนแบ่งในตลาดสูงถึง 85% รองลงมาเป็นรถประเภท สกูตเตอร์ หรือที่เราเรียกติดปากว่ารถออโตเมติกในสัดส่วน 14%, รถ แฟมิลี่สปอร์ต 6% และรถ สปอร์ต อีก 1%

จากกระแสรถจักรยานยนต์ออโตเมติกที่กำลังมาแรงในตลาดบ้านเรา นอกจากความทันสมัย และความสะดวกคล่องตัวในการใช้งานแล้ว กระแสที่แรงอย่างต่อเนื่องเรียกได้ว่าตรงกับใจกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ส่งผลให้รถประเภทนี้โตอย่างรวดเร็ว โดยผู้นำในเซ็กเมนต์นี้ยังคงเป็นค่าย ยามาฮ่า ที่ออกตัวในตลาดนี้ไปก่อนค่ายอื่นๆ ถึง 2 ปี หลังจากปล่อยให้ ยามาฮ่า มีส่วนแบ่งในตลาดรถประเภทนี้อยู่เพียงรายเดียว ซูซูกิ ก็ตัดสินใจปล่อยซูซูกิสเต็ป 125 ออกสู่ตลาดเมื่อกลางปีที่ผ่านมา

ส่วนค่ายผู้นำเจ้าตลาดรถจักรยานยนต์อย่าง ฮอนด้า เองก็ขอเกาะติดตลาดเพื่อไม่ให้ส่วนแบ่งในส่วนของ สกูตเตอร์ หายไป โดยเตรียมส่งรถจักรยานยนต์เกียร์อัตโนมัติ หรือที่เรียกว่ารถ "AT" หรือ automatic transmission ออกสู่ตลาด โดยจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ม.ค.ที่จะถึงนี้ พร้อมทั้งประกาศความมั่นใจว่า เมื่อส่งเจ้ารถ "AT" ลงตลาดแล้ว ส่วนแบ่งของรถประเภท สกูตเตอร์ จะเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีส่วนแบ่งสูงถึง 30% ของตลาดรวมรถจักรยานยนต์

กระหน่ำกลยุทธ์บุกยึดทำตลาด
ที่ผ่านมาแวดวงรถจักรยานยนต์มักจะเน้นให้ความสำคัญต่อการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างยิ่ง โดยเน้นเพื่อให้เกิดภาพจำ และความจงรักภักดีต่อรถของตน ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะมีรถจักรยานยนต์ออกสู่ตลาดบ้านเรารุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่สิ่งหนึ่งที่เรียกได้ว่าจะเป็นการถอดแบบการทำตลาดของค่ายรถเห็นจะหนีไม่พ้นการเลือกหยิบเอา "มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง" มาเป็นวิถีสำคัญที่จะเลือกปฏิบัติ

วันนี้อาจจะดูเหมือนเป็นการผูกขาด ระหว่างค่ายรถจักรยานยนต์และค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ด้วยการดึงดารา-นักร้องขวัญใจวัยรุ่น ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของตลาดรถจักรยานยนต์ มาดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย และเป็นตัวทำแต้มสำคัญให้กับค่ายรถ เมื่อมีการเลือกใช้นักร้อง-ดารามาขายพร้อมกับความเป็นแบรนด์ของรถในรุ่นนั้นๆ

กิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั้งหลายยังต้องผูกขาดและเกี่ยวเนื่องกันไปตลอดของทั้งค่ายรถและค่ายเพลง เรียกได้ว่ามีการจัดโรดโชว์ กิจกรรมส่งเสริมการตลาดขึ้นที่ใด การแสดงและการโชว์ตัวของพรีเซ็นเตอร์ก็จะตามมาในรูปแบบของการจัดคอนเสิร์ต ไปโดยปริยาย โดยถือเป็นการคืนกำไรให้กับกลุ่มลูกค้า รวมทั้งมัดใจลูกค้าไว้อย่างเหนียวแน่น

เมื่อกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่แต่ละค่ายโหมกระหน่ำสู้กันอย่างดุเดือด โดยการเลือกหยิบยกกลยุทธ์ "มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง" มาใช้ในการทำตลาด ด้วยการใช้พรีเซ็นเตอร์ที่เป็นดารา-นักร้องเข้ามาช่วยเพิ่มสีสัน และความคุ้มค่าต่อความเป็นสาธารณชนในสังคมมากยิ่งขึ้น

เปิดตัวค่ายน้องใหม่ มอเตอร์ไซค์จีน
หลังจากปล่อยกระแสการเข้ามาตีตลาดของรถจักรยานยนต์จากประเทศจีน ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ปีที่ผ่านมาตลาด 2 ล้อบ้านเราได้เปิดโอกาสต้อนรับน้องภายใต้แบรนด์ "แพลทินัม" มอเตอร์ไซค์สัญชาติจีนที่เข้ามทำตลาดในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้การบริหารงานของ "สมนึก วิทยารังสรรค์" ที่ประกาศความมั่นใจว่า รถจากเมืองจีนสามารถตีตลาดไทยได้อย่างแน่นอน

โดยในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 2-3 แสนคัน และขอส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 10% ซึ่งค่ายรถจากจีนรายนี้มุ่งเน้นการตลาดโดยเจาะเข้าในตลาดฟลีต โดยเน้นกลุ่มข้าราชการ และตลาดสวัสดิการต่างๆ รวมถึงการส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ โดยชูกลยุทธ์ในเรื่องของความหลากหลายของสินค้า ที่จะตอบสนองความต้องการในทุกเซ็กเมนต์ และมีคุณภาพในระดับโลก

สำหรับรถที่มาจากประเทศจีนที่เข้ามาทำตลาดในบ้านเราวันนี้ยังคงถูกปรามาสในด้านคุณภาพที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ก่อให้เกิดความคุ้มค่าต่อผู้บริโภค รวมถึงการลอกเลียนแบบสินค้า ที่ยังต้องถือเป็นบทพิสูจน์ข้อสำคัญที่รถจักรยานยนต์ แบรนด์จากประเทศจีนจะต้องพิสูจน์และแสดงให้เห็นถึงมาตรฐาน จากการวิจารณ์ของหลายฝ่ายโดยเฉพาะเรื่องของคุณภาพ

ฟันธงปีนี้ตลาดเดือด
1 ขวบปีที่ผ่านมาแวดวงสองล้อได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ตลาดรถจักรยานยนต์ไม่ได้มาถึงทางตันอย่างที่คิด ด้วยยอดการจำหน่าย 2.2 ล้านคันตามเป้าที่ตั้งไว้ ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับตลาดรถจักรยานยนต์ โดยผู้นำยังคงเป็นค่าย ฮอนด้า เช่นเคย ด้วยสัดส่วนการกินรวบดึงมาร์เก็ตแชร์ไปกว่า 67% มียอดจำหน่ายรวม 1,290,054 คัน, ยามาฮ่า 18% มียอดจำหน่ายรวม 347,660 คัน, ซูซูกิ 10% มียอดจำหน่ายรวม 183,148 คัน, ไทเกอร์ 3% มียอดจำหน่ายรวม 62,648 คัน, คาวาซากิ 1% มียอดจำหน่ายรวม 25,399 คัน, เจอาร์ดี 1% มียอดจำหน่ายรวม 9,950 คัน, แพลทินั่ม 1,396 คัน และอื่นๆ อีก 5,853 คัน (ม.ค.-พ.ย.2548)

จากการประกาศลงสู้ศึกขอแบ่งแชร์ในตลาดออโตเมติกของค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง ฮอนด้า บวกกับการรักษาส่วนแบ่งของตลาดรถจักรยานยนต์ในเซ็กเมนต์อื่น ที่ทุกค่ายยังคงต้องเดินหน้าฟาดฟัน เพื่อรักษาส่วนแบ่งของตนเองไม่ลดลง โดยเฉพาะทุกค่ายต่างไม่ต้องการให้ส่วนแบ่งของตนเองถูกแบ่งไปให้คู่แข่งแล้ว แต่วันนี้ทุกค่ายยังคงต้องพยายามแข่งกับตัวเองเพื่อรักษาตัวเลขไม่ให้น้อยลงไปจากปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน