ถ้าวัดจากจำนวนที่สวนกันบนท้องถนนแล้ว ต้องยอมรับว่า 'ขาใหญ่ ' ตัวจริงคือพลเมืองบนสองล้อติดเครื่อง ที่อาศัยความด้านเปรียบด้านรูปร่าง ซอกแซก แทรกซึมไปทั่วซอยเล็ก ซอยน้อย จนถึงถนนย่านธุรกิจที่แม้จะมีทั้งบริการลอยฟ้า-ใต้ดิน มารองรับ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่อาจโค่น 'แชมป์ ' ลงได้ในฐานะตัวทำเวลา โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งรีบ
จึงไม่แปลกใจ ที่ตลาดรถจักรยานยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ในประเทศไทยนั้น จะออกแรงขับเคี่ยวและต่างก็เหยียบคันเร่งในเกมธุรกิจ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี แต่ถ้าสังเกตการณ์จากข้างสนามให้ดีๆ จะพบเพียงแค่เบอร์ 1 และเบอร์ 2 เท่านั้น ที่กุมตลาดไว้หมด
ตามกลไกทางการตลาดและจากความรับรู้ของนักขับทั่วไป ค่ายเบอร์ 1 คือ ฮอนด้า และ ยามาฮ่า ตามมาติดๆ ในฐานะผู้นำตลาดเบอร์รอง ส่วนค่ายอื่นๆ มีให้เห็นอย่างประปราย พอให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการตลาด แต่ก็ยังทิ้งห่างอย่างไม่เห็นฝุ่น ด้วยงบประชาสัมพันธ์และการตลาดที่น้อยนิดเมื่อเทียบกับพี่ใหญ่และพี่รอง
กว่า 3 ใน 4 ส่วนของตลาดรถจักรยานยนต์ในท้องถนนเมืองไทยเป็นของค่าย 'ฮอนด้า ' และแน่นอนว่า ในฐานะผู้นำตลาด มีความได้เปรียบชนิด 'นอนมา ' เกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับในเรื่องแบรนด์ ยอดขาย งบประมาณการตลาด กระทั่งฐานลูกค้าที่เหนียวแน่น คิดจะขยับทำอะไรก็ดูดีไปหมด
หันกลับไปดูเบอร์สองอย่าง 'ยามาฮ่า ' ที่ทั้งยอดขายและฐานลูกค้า ห่างจาก 'ฮอนด้า ' อยู่มากพอสมควร แม้ว่าแบรนด์จะมีความเป็นสากลและชื่อชั้นที่ไม่ลดหลั่นกันมาก
ข้อมูลจาก บริษัทเอ.พี ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า 10 เดือนแรกของปี พ.ศ.2549 ฮอนด้ามียอดขาย 1.12 ล้านคัน คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 65 เปอร์เซ็นต์ (มาร์เก็ตแชร์) รองลงมาเป็น ยามาฮ่า 3.94 แสนคัน ครองมาร์เก็ตแชร์ 23 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 3 เป็นของค่ายซูซูกิ ทำยอดขาย 1.83 แสนคัน มาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 11 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นก็แบ่งกันไปประปราย เช่น คาวาซากิ เจอาร์ดี ฯลฯ
ส่วนต่างห่างจากเบอร์ 1 มากขนาดนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ในฐานะผู้ตาม ยามาฮ่าจึงน่าจะตั้งคำถามกับตัวเองมากมายในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกันนั้นก็ต้องวางแผน 'ทำความเร็ว ' กันครั้งใหญ่ โดยปล่อยมอเตอร์ไซค์สปีดช้าๆ อย่าง 'สกู๊ตเตอร์ ' ลงมาสู้ดูสักตั้ง
ไม่แรง แต่ลึก
ถ้าตาไม่ฝาด ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ เราเห็นท้องถนนสีเทาหม่นที่ อึดอัด วุ่นวาย ...กลับสดใสขึ้น ต้นเหตุของเรื่องคือ บรรดารถจักรยานยนต์เกียร์อัตโนมัติ (Automatic Transmition) หรือ 'สกู๊ตเตอร์ ' ผลงานเบอร์ล่าสุดจากค่ายยามาฮ่า ที่วางตัวเองไว้ในมอเตอร์ไซค์ประเภทเน้นรูปลักษณ์ สีสันโทนบับเบิ้ลกัม แต่ทว่า ซ่อนเกมการตลาดที่ 'ลึก ' ทีเดียว
เริ่มตั้งแต่การฉีกตัวมายังโพสิชั่นใหม่ และไม่ลืมที่จะชูความเป็นหนึ่งด้านเทคโนโลยีเกียร์อัตโนมัติ ที่เด่นชัดในช่วง 2-3 ปีหลังมานี้ พลอยทำให้พี่ใหญ่อย่าง 'ฮอนด้า ' กระโดดลงมาร่วมแข่งด้วยแล้วในปีนี้
ผู้มาก่อนอย่าง ประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด ก็ตอกย้ำหนักแน่นมาโดยตลอดว่า ไม่เคยกังวลเลยกับการที่ฮอนด้ากระโดดเข้ามาในตลาดนี้
"ตรงกันข้าม กลับจะเป็นผลดีแก่ตลาดโดยรวมเสียด้วยซ้ำไป เมื่อผู้นำตลาดเข้ามาเล่นในตลาดรถสกู๊ตเตอร์ เพราะจะช่วยให้ฐานการตลาดใหญ่ขึ้น เกิดการแข่งขันและพัฒนาผลิตภัณฑ์รถสกู๊ตเตอร์ในเมืองไทย ซึ่งทางยามาฮ่าถือเป็น Trend setter มาโดยตลอดตั้งแต่ตลาดสกู๊ตเตอร์บูมในช่วง 2-3 ปีที่แล้ว"
หากสิ่งสำคัญกว่า คือแนวคิดที่ท้าทาย ปรับตัวเองให้ 'ทัน ' ตลอดเวลา หนึ่งในนั้นเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำเทรนด์รถสกู๊ตเตอร์ของ 'ยามาฮ่า ' ด้วยการส่งรถจักรยานยนต์ ออโตเมติก รุ่นใหม่ล่าสุด 'ยามาฮ่า ฟีโน่ ' ยนตรกรรมที่มากไปด้วยเทคโนโลยี แต่มีดีไซน์ที่เป็นศิลปะ สไตล์แฟชั่น ที่ซ่อนอยู่ในตัวเครื่องแบบโมเดิร์นคลาสสิก ทั้งนี้ก็เพื่อเข้ามาเสริมไลน์ผลิตภัณฑ์สกู๊ตเตอร์ของยามาฮ่า ที่เจาะตลาดไปแล้ว ได้แก่ รุ่นนูโว และรุ่นมีโอ
และคำว่า ฟีโน่ (FINO) รุ่นล่าสุดนั้น มาจากภาษาอิตาลี ซึ่งมีความหมายว่า สบายๆ รู้สึกดี และ แจ่มใส ที่ตรงกับคำว่า F ine ในภาษาอังกฤษ
"ยามาฮ่า ฟีโน่ เป็นการสร้างการรับรู้ใหม่ให้กับภาพลักษณ์ของรถจักรยานยนต์เมืองไทย ด้วยการสร้างกระแสย้อนยุคหรือรีโทร (Retro) ให้กับผู้พบเห็น เพราะเพียง 2 สัปดาห์ของการเปิดตัว มีการตอบรับในเรื่องยอดจองสั่งซื้อกว่า 16,000 คัน ถือเป็นยอดขายที่สูงมากสำหรับรถรุ่นใหม่ และตามมาด้วยยอดจำหน่าย 20,000 คันต่อเดือน เกินกว่าเป้าที่ทางยามาฮาตั้งไว้ที่ 10,000 คันต่อเดือน เราจึงต้องวางแผนการผลิตใหม่หมดเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของตลาดที่เกิดขึ้นอย่างเกินคาด" สภาพสบายๆ ตามความหมายฟีโน
ในดีไซน์ ยามาฮ่า ฟีโน่ พัฒนาขึ้นมา 2 สไตล์ คือ R etro P o p ใช้โทนสีหวานใส ถูกใจวัยรุ่น และ R etro P remium ในโทนสีน้ำตาล แต่งแต้มบนเบาะนั่งตัดกับตัวถังสีทูโทน แปะป้ายราคาเริ่มต้นไว้ 40,000 เศษๆ
นอกจากสไตล์รีโทร ที่ไปถูกใจนักบิดวัยรุ่นแล้ว ความปลอดภัยขั้นพื้นฐานก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น กุญแจนิรภัย สตาร์ทมือ ที่เก็บสัมภาระใต้เบาะภายใน ฯลฯ
ในงานเปิดตัวยามาฮ่าฟีโน่ เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ณ สวนสันติชัยปราการ ท่าพระอาทิตย์นั้น ถือว่าเป็นการเผยโฉมครั้งแรกของโลก สังเกตได้ตั้งแต่ 'โลเคชั่น ' ที่เลือกเพราะได้กลิ่นอายคลาสสิค เฉกเช่นเดียวกับดีไซน์ของรถ
หากสิ่งที่ฉีกคอนเซปท์ออกมาอย่างสิ้นเชิง กลับเป็นพรีเซ็นเตอร์ดูโออย่าง กอล์ฟ-ไมค์ ซึ่งสวมสูทศิลปินรุ่นใหม่จากค่ายจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ที่ภาพลักษณ์สะท้อนถึงความเป็น 'ไอดอล ' ของยุคสมัยอย่างเต็มตัว
แต่แรงตอบรับของยนตรกรรมรุ่นนี้ แทบไม่ต้องอาศัยความเป็นพรีเซ็นเตอร์ของสองหนุ่มสักเท่าไหร่นัก หลายคนรู้จักและจำได้ในตัวสินค้ามากกว่าจะไปให้ความสนใจและคลั่งไคล้ในตัวนักร้องทั้งคู่
เพราะแรงจูงใจหลักคือ รูปลักษณ์ ดีไซน์ ในความเป็นสกู๊ตเตอร์ สองล้อที่ไม่เน้นพลังในการขับเคลื่อน ทว่าเจาะกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ได้ตรงและค่อนข้างถูกจุด เพราะส่วนใหญ่แล้วเป็นกลุ่มคนเมืองที่มีกำลังซื้อ ใช้ชีวิตและผูกไลฟ์สไตล์ไว้กับเทรนด์และแฟชั่น หากใครเป็นขาช้อป ก็คงจะเห็นยามาฮ่าฟีโน สีสันลูกกวาด ถูกนำไปจอดทิ้งไว้ในฐานะ 'ดิสเพลย์ ' หน้าร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมต่างๆ เช่น Lee ค่ายบลูยีนส์อันเก่าแก่ U-FO แฟชั่นในเครือ PENA HOUSE และในโทนสีขรึมๆ อย่าง Retro Premium ก็จะไปโชว์ตัวอยู่ตามร้านค้าที่เกรดสูงขึ้นมา ตามชอปปิ้งคอมเพล็กซ์ต่างๆ ใจกลางเมือง
ต้องติดตามต่อไปว่า มอเตอร์ไซค์จะเป็นอะไรได้อีก นอกจาก พาหนะ รถแข่ง แฟชั่น และพร็อพประกอบฉาก....