"เจอาร์ดี" ประกาศลดเป้ายอดขาย หลังถูกพิษเศรษฐกิจ-น้ำท่วม ยอมรับยอดขายสกูตเตอร์ "จุ๊บจุ๊บ" ไม่เป็นไปตามแผน เตรียมส่งน้องใหม่มินิทรัก "อะโตมิค" ชิมลาง ตั้งเป้าขายเดือนละ 20 คัน
นายพงษ์ศักดิ์ พรรณราย ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เจอาร์ดี ไบร์ท มอเตอร์ อินดัสตรีย์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถจักรยาน ยนต์ยี่ห้อ "เจอาร์ดี" เปิดเผยว่า บริษัทได้ส่งรถมินิทรัก "อะโตมิค" จากประเทศจีนเข้ามาทดลองทำตลาดในประเทศไทยแล้ว โดยในช่วงแรกบริษัทจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับตลาดในภาคเหนือ เป็นหลัก ก่อนที่จะเริ่มทำตลาดอย่างจริงจังต่อไป เนื่องจากมีความต้องการใช้รถประเภทนี้ค่อนข้างสูง
สำหรับรถมินิทรัก "อะโตมิค" มีเครื่องยนต์ขนาด 1100 ซีซี จำหน่ายในราคา 275,000 บาท มีจำหน่ายเฉพาะที่ศูนย์ "เจอาร์ดีอารีน่า" สาขาเชียงใหม่ หาดใหญ่ ภูเก็ต และนครสวรรค์ พร้อมทั้งตั้งเป้ามียอดการจำหน่ายไว้ที่ 20 คันต่อเดือน ส่วนช่องทางในการจำหน่ายนั้น นอกจากจะขายในศูนย์ "เจอาร์ดีอารีน่า" ทั้ง 4 สาขาแล้ว หากดีลเลอร์รายใดสนใจ บริษัทก็จะพิจารณาในเรื่องความเหมาะสมอีกครั้ง แต่บริษัทคงมุ่งเน้นจำหน่ายที่ "เจอาร์ดีอารีน่า" เป็นหลัก
สำหรับสถานการณ์การจำหน่ายของรถจักรยานยนต์ "เจอาร์ดี" ในปีนี้ บริษัทได้ตัดสินใจปรับลดเป้าหมายการจำหน่ายจากเดิมที่ตั้งไว้ 30,000 คันในปีนี้ ลดลงเหลือเพียง 12,000-18,000 คัน ปกติภาวะการขายเราเฉลี่ยประมาณ 3,000 คันต่อเดือน มีมูลค่า 11,000 ล้าน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วสามารถจำหน่ายไปได้กว่า 20,000 คันนั้น นายพงษ์ศักดิ์กล่าวว่า การปรับลดเป้าเป็นผลเนื่องมาจาก สถานการณ์ของตลาดรถจักรยานยนต์โดยรวมมียอดการจำหน่ายลดลงถึง 24%
ส่วนยอดการจำหน่ายรถสกูตเตอร์เจอาร์ดี "จุ๊บจุ๊บ" สำหรับผู้หญิงนั้น บริษัทยอมรับว่ายอดการจำหน่ายไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้ โดยเฉพาะตลาดในภาคอีสาน ส่วนหนึ่งเป็นผลเนื่องจากสภาพของเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว
แต่อย่างไรก็ตาม ในปีหน้านั้นบริษัทจะมีรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่จำหน่ายทั้งสิ้น 2 รุ่น และคาดว่าจะมียอดการจำหน่ายในปีหน้าทั้งสิ้น 30,000-40,000 คัน ส่วนหนึ่งเป็นผลเนื่องมาจากปัจจัยลบในปีนี้เริ่มคลี่คลายและกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
"เราจะพยายามแย่งส่วนแบ่งของตลาดจากบรรดาค่ายรถรายใหญ่ให้ได้มากที่สุด โดยเน้นสร้างการรับรู้ในแบรนด์เจอาร์ดีให้มากที่สุด"
สำหรับแผนในการขยายเพิ่มโชว์รูมและศูนย์บริการนั้น บริษัทยังยืนยันตามแผนเดิมคือมี 200 แห่งในปีนี้ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 183 แห่งทั่วประเทศ โดยช่วงระยะเวลาที่เหลือบริษัทจะขยายฐานลูกค้าในตลาดของกรุงเทพฯ ภาคตะวันออกและภาคอีสานเป็นหลัก ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจนั้นทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผนเดิมที่วางไว้ ยกเว้นแต่จะมีปัจจัยลบที่ไม่สามารถควบคุมได้เข้ามาส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ ซึ่งบริษัทก็จะพยายามปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ มากที่สุด