ร่วมงานกับเรา
ข่าวสารรถจักรยานยนต์ทั่วไป > 2550 > ยามาฮ่าชี้ตลาดรถจยย.ปีนี้เหนื่อย ลุยอัดโปรโมชัน
ยามาฮ่าชี้ตลาดรถจยย.ปีนี้เหนื่อย ลุยอัดโปรโมชัน เพิ่มโชว์รูมขายรถมือสอง
ที่มา – ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 29-31 มี.ค.50

ยามาฮ่า ชี้ตลาดรถจักรยานยนต์ปีนี้ซบ ไฟแนนซ์เข้มปล่อยสินเชื่อ ตลาดรวมเหลือแค่ 1.75 ล้านคัน จากปีก่อนที่มียอดขายเกือบ 2 ล้านคัน ยามาฮ่า พร้อมกอดคอดีลเลอร์อัดโปรโมชั่นและกิจกรรม หลัง 2 เดือนแรกยอดวูบ มั่นใจพลิกฟื้นสถานการณ์ เพิ่มยอดขาย ตามเป้า 4.65 แสนคันเท่ากับปีก่อน เพิ่มยามาฮ่าสแควร์และธุรกิจใหม่ปรับโฉมรถยึดจากไฟแนนซ์ให้ดีลเลอร์ขายเป็นรถมือสอง

นางจินตนา อุดมทรัพย์ ผู้จัดการใหญ่ด้านการค้า บริษัท ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เปิดเผยว่า สภาพตลาดรถจักรยานยนต์โดยรวมช่วง 2 เดือนกว่าที่ผ่านมายังไม่เติบโตเป็นที่น่าพอใจนัก โดยเฉพาะเดือนก.พ.ที่ผ่านมา มียอดขายลดลง แต่อย่างไรก็ตามตลาดรถจักรยานยนต์ก็ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปี 2550 นี้ที่คาดว่าอาจจะมีการเลือกตั้ง ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นให้ตลาดรถจักรยานยนต์กระเตื้องขึ้น โดยตัวเลขยอดขายทุกยี่ห้อ รวมกันคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ราว 1.75 ล้านคัน ลดลงจากปีก่อนที่มียอดขายเกือบ 2 ล้านคัน

"ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานั้นตลาดรถจักรยานยนต์เติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอด มีการกระตุ้นตลาด และกำลังซื้อล่วงหน้า มีการจัดกิจกรรมการขายอย่างหนัก และพอมาถึงปี 2550 นี้ คาดการณ์ว่า ตลาดจะไม่เติบโตเหมือนในอดีต โดยยามาฮ่าประเมินว่ายอดขายในปีนี้อาจจะมีเพียง 1.75 ล้านคันเท่านั้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มียอดขายเกือบ 2 ล้านคันนั้นถือว่าลดลงมาก"

ทั้งนี้ภาพรวมของตลาดรถจักรยานยนต์อยู่ในภาวะที่มีการแข่งขันสูง และในส่วนของการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้านั้น มีความระมัดมากขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมา หลังจากพบว่ารถจักรยานยนต์มีตัวเลขรถยึดมากจนน่าใจหาย ทำให้ไฟแนนซ์ที่ปล่อยกู้นั้นมีการตรวจสอบสินเชื่อ มีเงื่อนไขในการปล่อยกู้ยากขึ้นกว่าแต่ก่อน และมีการกำหนดให้วางเงินดาวน์จำนวนหนึ่ง จากในอดีตที่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องมีเงินดาวน์ก็สามารถออกรถได้เลย

นางจินตนา กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในส่วนของผลประกอบการยามาฮ่าในปีนี้คาดการณ์ว่าจะมียอดขายราว 4.65 แสนคัน ซึ่งเป็นยอดขายเท่ากับปีที่ผ่านมา แต่มีส่วนแบ่งตลาดที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายของยามาฮ่า ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะเดือนก.พ.นั้นยอดขายลดลงมากถึง 11% แต่พอเข้าเดือนมีนาคมยอดขายก็เพิ่มขึ้น อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นคาดว่าในไตรมาสแรกยอดขายของยามาฮ่าอาจจะลดลงไปไม่มาก และใกล้เคียงกับเป้าหมายที่ตั้งไว้

"ไตรมาสแรกนั้นถือว่าเป็นช่วงฤดูการขายของตลาดรถจักรยานยนต์ แต่ทว่ายอดขายของยามาฮ่าลดลง ทำให้ช่วงระยะเวลาที่เหลือก็มีความจำเป็นจะต้องกระตุ้นตลาดและจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายให้หนักหน่วงมากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้ยอดขายตลอดทั้งปีของยามาฮ่าเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ โดยทั้งยามาฮ่าและดีลเลอร์ก็พร้อมที่จะบุกตลาด และพยายามประคองธุรกิจให้มีผลกำไรในช่วงที่ตลาดลดลงให้ได้ โดยในส่วนของไทยยามาฮ่า ก็ได้มีการหาพันธมิตรเพิ่มขึ้น จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายทั้งทางตรงและทางอ้อม"

สำหรับในปี 2550 นี้คาดว่าจะมีการเพิ่มเครือข่ายการจำหน่าย ในส่วนที่เป็นโชว์รูมแบบ ยามาฮ่า สแควร์ จากเดิมที่มีอยู่ 200 แห่งเป็น 260 แห่ง และมีการเพิ่มรายได้จากบริการหลังการขาย รวมถึงรายได้จากการจำหน่ายอุปกรณ์ประดับยนต์ อาทิ เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ยามาฮ่ายังได้เริ่มมีการนำรถที่ถูกยึดจากสถาบันการเงินต่างๆ มาปรับปรุงและจำหน่ายให้กับดีลเลอร์ที่สนใจ เพื่อนำไปขายเป็นรถมือสอง โดยในปีที่ผ่านมาได้มีการจำหน่ายรถประเภทนี้ให้กับดีลเลอร์ไปมากกว่า 5,000 คัน ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนราว 1% ของยอดขายรถใหม่ของยามาฮ่า ซึ่งในปีนี้ก็จะดำเนินกลยุทธ์นี้ต่อไป

อนึ่ง สำหรับสภาพตลาดรถจักรยานยนต์เดือนแรกของปี 50 นั้นมียอดการจดทะเบียนของผู้ใช้จำนวน 150,672 คัน เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 1% โดยยอดขายรถครอบครัวคิดเป็นสัดส่วน 52% หรือจำนวน 77,925 คัน ส่วนรถแบบ เอ.ที. มีสัดส่วนตลาดที่ 44% โดยในช่วงเดือนแรกของปี 50 นี้ บรรดาผู้ผลิตและจัดจำหน่ายได้มีการกระตุ้นการจำหน่าย รวมทั้งการแนะนำรถรุ่นใหม่ๆจากค่ายผู้ผลิตต่างๆอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามยอดขายในปี 2550 นี้ คาดว่าจะมีจำนวนลดลงเมื่อเทียบกับปี 2549 ที่มียอดขาย 2,061,610 คัน เติบโตลดลง จากปีก่อนหน้า 2% คิดเป็นจำนวน 41,937 คัน โดยในปี 49 ที่ผ่านมา ตลาดรถจักรยานยนต์ไทยได้รับผลกระทบ จากภาวะเปลี่ยนแปลงทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการเกษตร โดยเฉพาะภาคเกษตรกรเมื่อรายได้หลักถูกกระทบ กำลังซื้อยิ่งถดถอย จึงเกิดการชะลอซื้อรถจักรยานยนต์ ทำให้การจำหน่ายของรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว ซึ่งเป็นรถของคนส่วนใหญ่ ที่ใช้ได้ทั้งครอบครัวมีสัดส่วนลดลงมากถึง 30% ในขณะที่รถแบบเอทีที่เหมาะกับการใช้งานในเมือง เป็นที่นิยมของวัยรุ่นแต่มีราคาที่สูงกว่า ได้กลายเป็นทางเลือกใหม่ของกลุ่มมีกำลังซื้อซึ่งอาศัยอยู่ในเมือง และเลือกใช้รถจักรยานยนต์เพราะประหยัดน้ำมันมากกว่าการใช้รถยนต์ ประกอบกับหลายค่ายผู้ผลิตได้แนะนำรถจักรยานยนต์แบบเอทีรุ่นใหม่ๆออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนเพียง 3 รุ่นในปี 2548 ได้เพิ่มเป็น 7 รุ่นในปี 2549 ทำให้รถประเภทนี้มีการเติบโตจากปีก่อนหน้ามากถึง 256%