"ยามาฮ่า" ลั่นไม่หวั่น หลังโดนคู่แข่งเบอร์หนึ่งแย่งแชร์รถ "ออโตเมติก" ประกาศรักษาส่วนแบ่งปีนี้ 40% มั่นใจปีหน้าขยับเพิ่มเป็น 45% พร้อมเดินเครื่องเปิดตลาดบิ๊กไบก์เต็มสูบ เตรียมขยายโชว์รูมทั่วหัวเมืองใหญ่ หวังดันยอดขายปีละ 300 คันในอนาคต
ประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่า มอเตอร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ "ยามาฮ่า" เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจของตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือ "บิ๊กไบก์" ว่า บริษัทพร้อมที่จะหันเข้ามาดำเนินธุรกิจด้านบิ๊กไบก์อย่างเต็มรูปแบบ โดยในเดือนตุลาคมนี้บริษัทจะเปิดโชว์รูมและศูนย์จำหน่ายรถจักรยานยนต์บิ๊กไบก์ขึ้นเป็นแห่งแรก เพื่อตอบสนองกับความต้องการของลูกค้า โดยใช้งบประมาณในการลงทุน 15-20 ล้านบาท และตั้งเป้าที่จะทำยอดขายได้ 40-50 คันในปีนี้
พร้อมทั้งมีแผนงานที่จะขยายโชว์รูมไปยังหัวเมืองใหญ่อีก 4 แห่ง ได้แก่ ที่ภูเก็ต พัทยา ขอนแก่น หรือโคราช และเชียงใหม่ รวมถึงพิจารณาเพิ่มโชว์รูมตามยอดขายที่เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยราคาจำหน่ายของรถบิ๊กไบก์จะอยู่ที่ตั้งแต่ 5-6 แสนบาท เชื่อว่าบิ๊กไบก์ของยามาฮ่าจะมียอดจำหน่ายถึงปีละ 200-300 คันในอนาคต
"เรามองว่ายังมีกลุ่มลูกค้าที่มีความชื่นชอบรถมอเตอร์ไชค์ขนาดใหญ่ แบบบิ๊กไบก์ อยู่เป็นจำนวนมากในบ้านเรา บวกกับรถประเภทนี้ถือเป็นรถที่ขับขี่มีความปลอดภัย และเราคาดว่ารถที่นำมาทำตลาด จะตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ของคนที่ชื่นชอบการขับขี่รถจักรยานยนต์เพื่อการท่องเที่ยวด้วย"
นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ในช่วงของการดำเนินการก่อสร้างโรงเรียนฝึกการขับขี่รถจักรยานยนต์ "Yamaha Safety Riding Academy" ซึ่งในส่วนของสนามขับขี่ได้ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงส่วนของการก่อสร้างอาคารเท่านั้น
ทั้งนี้จากสภาพของตลาดรถจักรยานยนต์ในปีนี้ คาดว่ายอดจำหน่ายในประเทศไทยน่าจะเหลือ 1.65 ล้านคัน ลดลง 15% จากปีที่แล้วที่มียอดขายประมาณ 1.5 ล้านคัน ถ้าสถานการณ์ทุกอย่างลงตัวแล้ว คาดว่าตลาดรถจักรยานยนต์จะกลับมาและน่าจะอยู่ที่ 1.7-1.8 ล้านคัน โดยในช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าตลาดคงจะไม่ดีมากขึ้น แต่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ตลาดอาจจะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ หากมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่รวมทั้งมีการเลือกตั้ง จะทำให้ตลาดกลับมาบนพื้นฐานของความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
และจากผลกระทบของเศรษฐกิจโดยรวมนั้น ได้ส่งผลต่อยามาฮ่าเช่นกัน โดยในปีนี้คาดว่ายอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของยามาฮ่าจะลดลงมาเหลืออยู่ที่ 400,000 คัน ทำให้คาดว่ารายได้ในปีนี้จะหดตัวลงไปราว 10% เหลือ 2.3 หมื่นล้านบาท จากที่ทำได้ 2.5 หมื่นล้านบาทในปีที่ผ่านมา
ส่วนตลาดรถจักรยานยนต์ออโตเมติกนั้น ยามาฮ่าถือเป็นผู้นำของตลาดมาโดยตลอด แต่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว หลังจากมีค่ายใหญ่มาขอแบ่งแชร์ในตลาดนี้ ทำให้มีการแข่งขันในตลาดรถออโตเมติกเพิ่มมากขึ้น ซึ่งยามาฮ่าพยายามรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้อย่างเต็มที่ จากปัจจุบันตลาดรถออโตเมติกมีส่วนแบ่งอยู่ 40% ของตลาดรวม ซึ่งยามาฮ่าตั้งเป้าขอส่วนแบ่งอย่างน้อย 40% ในตลาดนี้ และคาดว่าในปีหน้าจะเพิ่มส่วนแบ่งเป็น 45% ด้วย
ส่วนตลาดส่งออกนั้น คาดว่าในปีนี้จะเติบโตขึ้น และทำรายได้ให้บริษัทราว 7.7 พันล้านบาท เติบโต 10% จากยอด 7 พันล้านบาทในปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากตลาดเวียดนามและอินโดนีเซียเติบโตขึ้น ทำให้ยอดส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในกลุ่มสินค้าในกลุ่มย่านน้ำ คาดว่าจะทำยอดขายได้ถึง 150 ล้านบาทในปีนี้
สำหรับช่วงระยะเวลาที่เหลือยามาฮ่าจะเน้นจัดโปรโมชั่นและกิจกรรมส่งเสริมการขายค่อนข้างมาก อย่างเช่นมีบัตรเงินสดดิจิทัล "ยามาฮ่าสมาร์ทเพิร์ส" แคมเปญ "ที่สุดประสบการณ์ชีวิต พิชิต 7 สิ่งมหัศจรรย์ล่าสุดของโลก" การทำการตลาดที่มุ่งเน้น CRM โดยที่ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากที่สุด การทำโปรโมชั่นรวมกับสินค้าอื่นๆ เช่น ดีแทค เป๊ปซี่ การใช้, มิวสิก มาร์เก็ตติ้ง, สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง และไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตติ้ง ที่ยังคงต้องใช้อยู่ และต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วย