ยามาฮ่าชี้เศรษฐกิจซบส่งผลตลาดมอเตอร์ไซค์ยอดหด 16% สูงสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่ผลประกอบการ 7 เดือนแรกลดลงตามภาวะตลาด หวังครึ่งปีหลังฟ้าใสตั้งเป้าขาย 400,000 คัน พร้อมส่งรุ่นใหม่ “นิวฟีโน่” กระตุ้นตลาด คาดกวาดยอดพุ่งเดือนละ 10,000 คัน
นายประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยช่วง 7 เดือนแรกของปี 2550 นี้มีอัตราการเติบโตลดลง 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นการติดลบสูงสุดในรอบ 10 ปี นับตั้งแต่ช่วงเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 เนื่องจากปัญหาสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น ประกอบกับกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าหลักในระดับรากหญ้า คือระดับกลางและระดับล่าง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของตลาดรถจักรยานยนต์หายไป รวมทั้งความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของบริษัทให้บริการด้านการเงินทำให้ยอดขายรถจักรยานยนต์ช่วงที่ผ่านมามีการชะลอตัวลง โดยปัจจุบันปริมาณรถจักรยานยนต์ในประเทศอยู่ที่ 960,000 คัน คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นเป็น 1,600,000 คัน
สำหรับผลประกอบการในช่วง 7 เดือนแรกของยามาฮ่า มีอัตราการเติบโตที่สอดคล้องกับสภาพตลาด โดยมียอดขายรวม 220,000 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 16% โดยสิ้นปีคาดว่าภาพรวมตลาดจะดีขึ้น โดยเฉพาะความชัดเจนทางการเมืองที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดการเลือกตั้งได้ในช่วงปลายปีจะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบริษัทมองว่าจะสามารถทำยอดขายในสิ้นปีนี้ได้ 400,000 คัน
“ด้วยสภาพของตลาดที่หดตัวลง บริษัทได้ทำการปรับลดกำลังผลิตลงเหลือประมาณ 400,000 คันต่อปี จากเดิมที่เดินกำลังผลิตประมาณ 465,000 คันต่อปี เพื่อให้มีความสอดคล้องกับยอดขายที่ลดลง แต่เชื่อว่าสถานการณ์ในช่วงปลายปีนี้และตลาดในปี 2551 จะดีกว่าปัจจุบัน โดยคาดว่าตลาดยังสามารถขยายตัวได้ถึงระดับ 2,000,000 คันภายใน 3 ปี”
ส่วนสถานการณ์ในตลาดส่งออกนั้นยังมีอัตราการเติบโตที่ดี โดยบริษัทสามารถมียอดการส่งออกทั้งในรูปของชิ้นส่วน เครื่องยนต์ และอะไหล่ เติบโตเพิ่มขึ้นได้ 20% เนื่องจากตลาดของประเทศที่บริษัททำการส่งออก เช่น ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ยังมีอัตราการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซียมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 30% มีปริมาณในตลาดรวมทั่วประเทศประมาณ 4,000,000 -5,000,000 คัน ขณะที่เวียดนามมีอัตราการเติบโตขึ้น 25% มีปริมาณในตลาดรวมในประเทศประมาณกว่า 2,000,000 คัน และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2,500,000 คันในสิ้นปีนี้
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า แม้ภาพรวมปริมาณการส่งออกของบริษัทจะสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นได้ 20% แต่ในแง่ของกำไรจากการจำหน่ายกลับมีอัตราที่ลดลง โดยมีกำไรสุทธิลดลงจากช่วงที่ค่าเงินยังไม่เปลี่ยนแปลง 7% แต่หากปริมาณยอดขายในต่างประเทศมีการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องบริษัทก็สามารถทำกำไรได้มากขึ้นเช่นกัน ประกอบกับตลาดหลักของบริษัทส่วนใหญ่ 70% ยังเป็นรายได้จากการทำตลาดภายในประเทศ โดยตัวเลขรายได้จากการส่งออกมีสัดส่วนประมาณ 30% เท่านั้น ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวมากนัก
นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมทำตลาดยามาฮ่า นิว ฟีโน่ เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขาย โดยมีการปรับลายกราฟิคบนตัวรถ เพิ่มสีให้เลือกมากขึ้น โดยจะมีระดับราคาเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 500 บาท ซึ่งจะเริ่มมีโฆษณาตัวใหม่ออกอากาศในช่วงปลายเดือน และยังคงใช้พรีเซ็นเตอร์เดิมคือ กอล์ฟ ไมค์ และเพิ่มดาราวัยรุ่นเป็นพรีเซ็นเตอร์ใหม่อีก 3 คน ได้แก่ พันช์ เต้ย และชิน คาดว่าจะสามารถเพิ่มยอดขายให้ยามาฮ่า ฟีโน่ ได้เป็น 10,000 คันต่อเดือน จากปัจจุบันที่มียอดขายประมาณ 8,000 -9,000 คันต่อเดือน
ขณะที่ในส่วนของการทำตลาดทั้งกับลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายนั้นยังคงให้ความสำคัญ โดยในปีนี้บริษัทเตรียมงบประมาณจำนวน 2,000 ล้านบาท สำหรับการโฆษณาและทำกิจกรรมส่งเสริมการขายทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ร่วมกับตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังที่มีแผนทำกิจกรรมเพื่อกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณในแต่ละกิจกรรมไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากสภาพตลาดที่หดลงเพราะกำลังซื้อของลูกค้าหายไป ทำให้แนวโน้มการขยายตัวของรถเกียร์ออโตเมติกไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง โดยปัจจุบันสัดส่วนรถประเภทดังกล่าวอยู่ที่ 46% จากตลาดโดยรวม เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนในตลาด 30% ในปีที่ผ่านมา แต่ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนได้เป็นครึ่งหนึ่งของตลาด แต่มีความมั่นใจว่าอย่างไรตลาดยังคงมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น เพราะจุดเด่นเรื่องการขับขี่ที่ง่ายกว่าเกียร์ธรรมดา รวมทั้งผู้ประกอบการในตลาดจะมีการพัฒนารถเกียร์ออโตเมติกรุ่นใหม่ที่มีระดับราคาที่ถูกลงมาทำตลาดเพิ่มขึ้น ขณะที่ยามาฮ่าเองก็เตรียมนำรถออโตเมติกที่มีขนาดใหญ่และมีกำลังเครื่องยนต์ที่แรงขึ้นเข้ามาทำตลาดในช่วงประมาณปลายปี