ยามาฮ่า ฟีโน่ ปะทะ ฮอนด้า ไอคอน ชิงเจ้าตลาด - หลังจากที่ " ยามาฮ่า" เปิดตลาดใหม่รถจักรยานยนต์ออโตเมติก ส่งผลให้ยามาฮ่าก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตลาดรถออโตเมติก ขณะที่คู่แข่งรายสำคัญ " ฮอนด้า" ไม่รอช้าส่งรถในเซ็กเม้นต์นี้ลุยตาม พร้อมเปิดแนวรบการตลาดใหม่ด้วยวัยรุ่นวัยใส สะท้านถึงผู้บุกเบิกตลาดจนต้องติดเทอร์โบให้ฟีโน่เปิดศึก แก้เกมส์ตลาด มุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างด้วยแฟชั่นหลากหลายสไตล์ ผ่านภาพยนตร์โฆษณาทางทีวี หลายเรื่องในช่วงเวลาเดียวกัน
+ ยามาฮ่าเปิดตลาด มอเตอร์ไซค์แบบออโต้ฯ
หลังจากที่ " ยามาฮ่า" เปิดตลาดรถออโตเมติก ด้วยรถรุ่นนูโว ตั้งแต่ปี 2545ด้วยภาพลักษณ์แบบเท่ๆ ใสๆ ของเหล่า 4 หนุ่ม F4 จากกนั้นก็เพิ่มดีกรีภาพลักษณ์ของนูโวด้วยการใช้ศิลปินชื่อดังแห่งค่ายแกรมมี่ " เสก โลโซ" เป็นพรีเซ็นเตอร์หลัก ทำให้นูโวมีภาพลักษณ์แบรนด์แบบดิบๆ กวนๆ ขณะที่คู่แข่งคนสำคัญ "ฮอนด้า" กลับมองว่าตลาดนี้เป็นเพียงตลาดฉาบฉวยที่เกิดขึ้นมาแล้ววูบดับไปในระยะเวลาอันสั้น
ต่อมา ยามาฮ่า ได้สร้างขุนศึกใหม่ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แนวรบรถออโตด้วยการส่งรุ่นมีโอเข้าสู่ตลาด และยังคงเอาใจวัยรุ่นเช่นเคย เพียงแต่ให้ดูเพรียวลมด้วยขนาดที่เล็กลงพร้อมภาพลักษณ์ใหม่ที่เด็กลงมากว่าเดิม โดยใช้แบงค์ วงแคลชเป็นพรีเซ็นเตอร์หลัก อันเป็นตอกย้ำความเป็นแบรนด์ที่ให้เด่นชัดเพิ่มขึ้นไปอีก
กระทั่งในช่วงกลางเดือนกันยายน 2549 ยามาฮ่า ก็รุกซ้ำแบบกระหน่ำอีกครั้ง ด้วยส่งรถเกียร์ออโตรุ่นใหม่อีกตัวหนึ่งลงตลาด ได้แก่ " ยามาฮ่า ฟีโน่ " เป็นรถสไตล์เรโทร(retro) การออกแบบคล้ายรถสกู๊ตเตอร์ เวสป้า เมื่อกว่าสี่สิบปีก่อน
ที่โดดเด่นไม่น้อยเลย ต้องยกให้งานเปิดตัวฟีโน่ ซึ่งจัดอย่างยิ่งใหญ่มาก อลังการโดยได้เปิดตัวครั้งแรกที่ สวนสันติชัยปราการ ท่าพระอาทิตย์ ในบรรยากาศ สบายๆ ย้อนยุค แต่อัดแน่นด้วยกิจกรรมความสนุกและคอนเสิร์ตจากหลากหลายศิลปิน พร้อมการประกวดงานศิลปะจากนักศึกษา การสร้างงานศิลป์โดยกลุ่มศิลปินดารานักร้องชื่อดัง ตลอด 2 วันคือวันที่ 16-17 กันยายน 2549
บรรยากาศเปิดตัวฟีโน่ ในครั้งนั้น เน้นไลฟ์สไตล์ย้อยยุค ด้วยคอนเซปท์ THE ARTOF AUTOMATIC มีโซนบูธกิจกรรมต่างๆ โดยกำหนดแต่ละโซนอย่างมีสีสันและน่าสนใจไม่น้อย อาทิ โซนแรก FINO Market ตลาดสินค้า Handmade และสินค้า 2nd Hand มาจำหน่ายภายในงาน โซนที่2 FINO Theater จัดให้มีการฉายภาพยนตร์สั้น, ภาพยนตร์ย้อนยุค หรือ ภาพยนตร์ที่เป็น ผลงานของนักศึกษาสถาบันต่างๆ
โซนที่ 3 Celeb & Demons ศิลปิน - ดารานำของสะสม (Modern Classic)มาจัดแสดง และสาธิตศิลปะรูปแบบต่าง ๆ เช่น การ Paint ภาพลงบนวัสดุต่าง ๆ , การตกแต่งเสื้อยืด-กางเกงยีนส์ ฯลฯ ขณะที่โซนที่ 4 ผู้ที่อยากจะสัมผัส Fino อย่างใกล้ชิดสามารถที่จะทดลองนั่ง หรือ ถ่ายภาพร่วมกับรถ FINO ซึ่งมี Backdrop รูปแบบต่าง ๆให้เลือก ถ่ายได้ตามใจชอบ ทั้งนี้มีบริการถ่าย โพลารอยให้ฟรีด้วย
ส่วนโซนที่ 5 FINO Game Zone ซุ้มเกมต่าง ๆ สไตล์ย้อนยุค แต่มันส์แบบยุคนี้ต่อมา โซนที่ 6 FINO Show Case ศิลปินจากกลุ่มต่าง ๆ มาร่วมแสดง และเติมสีสันด้วยกิจกรรม ทางศิลปะในสไตล์ Contemporary Art การแสดงศิลปะ รูปแบบต่าง ๆ เช่นHappening Art (ละครคนหน้าขาว), Performance Art (ศิลปะ เฉพาะบุคคล),Fire Ball (การควงลูกไฟ) และฟัง เพลงเพราะๆสบายๆกับพี่น้อง สินเจริญ บราเทอร์, และโก้ มิสเตอร์แซ็คแมน
ด้านโซนที่ 7 FINO Window Display Contest ประกวดการออกแบบสร้างFINO Window Display จากนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ และโซนที่ 8 FINO GrandFrame ลานแสดงคอนเสิร์ตและกิจกรรมริมแม่น้ำเจ้าพระยามีศิลปิน ปาล์มมี่,แคลอรี่ บลาบลา, ที่มาแสดงคอนเสิร์ต และชมแฟชั่นโชว์จากศิลปินดารามากมาย
ไฮไลท์เด่นของงานที่เรียกความสนใจจากผู้ร่วมงานได้เป็นอย่างดี คือ สีสันการเปิดตัวรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ฟีโน่ เปิดบนเวทีลอยน้ำ มาพร้อมพรีเซนเตอร์ของยามาฮ่าฟีโน่ คือ "กอล์ฟ - ไมค์" ศิลปินฮอตสุดขีดในความเป็นขวัญใจวัยรุ่นทั่วเอเชีย
จึงไม่แปลกที่ยามาฮ่า ฟีโน่ กลายเป็นแบรนด์ผู้นำ ครองใจกลุ่มเป้าหมายอย่างไม่ยากนัก ซึ่งต่อมาบรรดาคู่แข่งสำคัญ ต้องหันมาใส่เกียร์เร่ง เต็มฝีเท้า เพื่อไล่ตามให้ทัน
+ ฮอนด้าแก้ลำ-ส่ง " คลิก"ชิงตลาด
"ฮอนด้า" ค่ายยักษ์ใหญ่คู่แข่งสำคัญ แห่งวงการมอเตอร์ไซค์ ผู้กุมตำแหน่งเจ้าตลาด(จากยอดขายรวม) ต้องเกิดอาการสะดุดขาตัวเอง โดยเพลี่ยงพล้ำให้กับคู่แข่งอย่าง ยามาฮ่าในการรุกตลาด ซึ่งสามารถปลุกตลาด และให้เกิดกระแส"รถออโตเมติก"บูม จนถึงขั้นที่ยามาฮ่าประกาศให้ทั้งตลาดรู้ว่าเขาคือ "ออโตเมติก ลีดเดอร์" หรือผู้นำตลาดรถมอร์เตอร์ไซต์แบบออโตเมติก
การเพลี่ยงพล้ำในครั้งนี้ มีสาเหตุหลัก ส่วนหนึ่งมาจาก แนวความคิดที่เชื่อว่า ตลาดรถครอบครัวยังเป็นเซ็กเม้นต์ที่มีขนาดใหญ่สุดและไม่มีเซ็กเม้นต์ใดจะมาแย่งส่วนแบ่งตลาดนี้ไปได้
แต่ในที่สุดฮอนด้า จำต้องยอมรับว่า เขาจะประมาทคู่แข่งสำคัญอย่าง ยามาฮ่า ที่อดีตเคยเป็นเจ้าตลาดไม่ได้ ส่งผลให้ ฮอนด้า จึงต้องเข้าสู่สมรภูมิรบอย่างดุเดือดอีกครั้งด้วยการส่งรถออโตเมติกรุ่นแรกภายใต้ชื่อคลิก ซึ่งครั้งแรกที่เปิดตัวหลายคนต้องตะลึงเนื่องจากดีไซน์ที่ไม่ปราดเปรียวแถมออกแนวอ้วนเทอะทะ พร้อมด้วยเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กเพียง 110 ซีซี มีดีเพียงแค่ระบบระบายความร้อนและระบบความปลอดภัย
ครั้งนี้ดูเหมือน "ฮอนด้า"จะถูกโฉลกกับวัยรุ่น เพราะทันทีที่" ฮอนด้า คลิก"ออกวางจำหน่าย ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมกลยุทธ์การตลาดแบบถึงพริกถึงขิง ที่สำคัญยังได้เหล่า " ศิลปิน เอ เอฟ" ที่กำลังดังในหมู่วัยรุ่นมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ ยิ่งช่วยส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของ ฮอนด้า คลิก ดูแตกต่างจากยามาฮ่าอย่างชัดเจน ด้วยภาพลักษณ์ที่สดใสพร้อมสื่อให้เห็นว่าคลิกสามารถขับขี่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง
อย่างไรก็ตาม " ฮอนด้า" ก็ยังต้องเสียเปรียบอยู่ดี เนื่องจาก รถออโตเมติกเพียงรุ่นเดียว ในขณะที่คู่แข่งลงตลาดไปด้วยกันถึง 2 รุ่น ( ช่วงนั้น ยามาฮ่ามีรถออโตรุ่น นูโวกับมีโอ ฟีโน่ ยังไม่วางตลาด) ส่งผลให้ในเวลาต่อมาฮอนด้าต้องส่งพี่ใหญ่อย่าง " ฮอนด้ารุ่น แอร์เบลด " ลงสู้ศึกอีกรุ่น และดูเหมือนสิ่งที่ฮอนด้าทำจะเดินมาถูกทางด้วย จนในตลาดเกิดการจับคู่มาเปรียบกันโดยฮอนด้าคลิกถูกจับให้อยู่ระดับเดียวกับยามาฮ่ามีโอและฮอนด้าแอร์เบลดถูกจับให้อยู่ระดับเดียวกับนูโว
กลยุทธ์ครั้งนี้ ทำให้รถออโตของฮอนด้า สามารถแย่งยอดขายมาได้ ขณะที่รถคู่แข่งจนยอดขายของทั้งนูโวและมีโอตกลง ส่งผลให้ฮอนด้าขึ้นเป็นผู้นำในตลาดรถออโต อย่างเต็มภาคภูมิ
ด้าน" ยามาฮ่า" ก็ไม่ละความพยายามที่จะทวงส่วนแบ่งการตลาดกลับคืนว่า โดยยังคงมุ่งมั่นที่จะลุยสู้ศึกต่อไปในตลาดนี้ ยามาฮ่า ตัดสินใจนำรถออโตเมติกในรุ่นใหม่ ซึ่งนับเป็นรุ่นที่ 3 ซึ่งเรียกว่าชื่อว่า " ฟีโน่" ออกสู่ตลาด เมื่อกลางเดือนกันยายน 2549 พร้อมงานเปิดตัว ยิ่งใหญ่ที่สุด จัดงานถึง 2 วัน ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น
+ ฟีโน่ หัวหอก- ทวงคืนบัลลังก์
นับจากการเปิดตัว" ยามาฮ่า รุ่น ฟีโน่ "เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว และตามด้วยการทำไมเนอร์เชนจ์รถออโตรุ่นมีโอ เปิดตัวมีโอรุ่นใหม่ เมื่อเดือนธันวาคมปี 2549 จนถึงปี 2550 สถานการณ์ตลาดรถออโตของยามาฮ่า ก็ยังไม่สามารถพลิกกลับไปเป็นผู้นำในตลาดได้เหมือนเดิม
ดังนั้นยามาฮ่าจึงต้องจัดทัพใหม่ ส่ง ยามาฮ่า รุ่นฟีโน่รุกตลาดหนักอีกครั้ง ด้วยกลยุทธ์โฆษณาผ่านการสื่อทีวี ออกมาพร้อมกันหลายชุดโดยมุ่งเจาะกลุ่มวัยรุ่นเช่นเคย แต่ครั้งนี้ด้านภาพลักษณ์แบรนด์ มักเน้นไปที่เรื่อง" แฟชั่นและความเป็นตัวของตัวเอง" ผ่านสีสันและอุปกรณ์แต่งรถที่ช่วยเพิ่มความสวยงามได้หลากหลาย โดยใช้พรีเซ็นเตอร์ที่กำลังเป็นชื่นชอบของวัยรุ่นอย่าง " กอล์ฟ-ไมค์" และตามมาด้วยพั้นช์, ชินและเต้ย ซึ่งมาแต่งรถในรูปแบบที่ชอบและตรงกับบุคลิกของแต่ละคน
การออกมารุกอย่างหนักของ " ยามาฮ่า" เพื่อความความแตกต่างให้กับตลาดในเซ็กเม้นต์นี้ ส่งผลให้ยอดขายของยามาฮ่า กลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยยอดขายจากรถฟีโน่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในตลาดเริ่มเบี่ยงกระแสของรถออโตเมติก จากรถมอร์เตอร์ไซต์ที่เน้นความเท่ กวนๆ หรือใสๆ ให้ออกมาแนว" สีสันสะดุดตาและบ่งบอกความเป็นตัวของตัวเอง" ซึ่งเป็นสิ่งที่วัยรุ่นต้องการ ด้วยจุดเด่น รูปทรงของรถก็ออกแนวย้อนยุคในสมัยที่รถเวสป้ารุ่งเรืองอีกด้วย
ที่เป็นเรื่องน่าแปลกไม่น้อยสำหรับลูกค้ายามาฮ่า ฟีโน่ ไม่ได้มีเฉพาะกลุ่ม วัยรุ่นซึ่งจัดเป็นกลุ่มเป้าหมายลักของรถมอร์เตอร์ไซต์อยู่แล้ว และผู้บริโภคเดิมที่นิยมใช้มอเตอร์ไซค์เท่านั้น แต่ยังสามารถยามาฮ่า ฟีโน่ โดนใจด้วยการเจาะเข้าไปในกลุ่มผู้บริโภค"กลุ่มใหม่ ซึ่งที่ไม่เคยใช้มอเตอร์ไซค์" หันมาสนใจและเริ่มใช้มอเตอร์ไซค์เพราะรูปลักษณ์การออกแบบมาโดนใจคนกลุ่มนี้เป็นอย่างดี
จึงไม่แปลกที่ยอดขายฟีโน่ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกเดือนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับรถออโตรุ่นอื่นของยามาฮ่า หรือรถของคู่แข่งที่ยอดขายขยับเล็กน้อย หรือกลับลดลงด้วยซ้ำ
+ ฮอนด้าส่ง ไอคอน เบรค ฟีโน่
ทันทีที่รู้ว่าคู่แข่งเปิดศึกแฟชั่นมาผสมผสานไลฟ์สไตล์เพื่อบอกความเป็นตัวเอง "ฮอนด้า"ไม่รอช้าก็ส่งรถออโตเมติกในรุ่นที่ 3 ออกมาเช่นกันโดยตั้งชื่อว่าไอคอน ซึ่งเจ้าไอคอนนี้ยังแบ่งออกเป้น 3 กลุ่มไลฟ์สไตล์ประกอบไปด้วยไอคอน คิ้วท์, ไอคอน สปอร์ตและไอคอน ไซเบอร์ พร้อมทั้งยังมีอุปกรณ์แต่งรถให้ออกมาดูโฉบเฉี่ยวอีกด้วย
นายธีระพัฒน์ จิวะพงศ์ กรรมการบริหารฝ่ายขาย บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัดกล่าวว่า "เนื่องจากคู่แข่งมีการทำตลาดอย่างจริงจัง ส่งผลให้ตลาดมีการเติบโตสูงขึ้นเล็กน้อย เราจึงทำการส่งไอคอนรุกตลาดเพื่อให้กลายเป็นรถที่วัยรุ่นนิยม โดยไอคอนนั้นเป็นการแก้ไขข้อบกพร่องที่ฮอนด้าคลิกมี ทำให้เรามั่นใจว่ารถไอคอนนี้จะเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นอย่างมาก"
สำหรับไอคอนนั้น เรียกได้ว่า เป็นรถที่ถอดแบบมาจาก ฮอนด้า คลิกก็ว่าได้ เพราะทั้งเรื่องของเครื่องยนต์, ระบบระบายความร้อนและระบบความปลอดภัย รวมถึงรูปร่างยังละม้ายคล้ายคลึงกับฮอนด้าคลิกอีกด้วยต่างกันก็ตรงรูปทรงดูเพรียวลมขึ้นมามาก เนื่องจากช่วงความอ้วนที่มีในรุ่นคลิกหายไป ซึ่งวางเป้าหมายในช่วงแรกไว้ถึง 30,000 คันพร้อมโปรโมชั่นของแต่งฟรีถึง 30,000 ชุดเช่นกัน
"เราเตรียมตัวไว้แล้วว่าการออกรุ่นไอคอนในครั้งนี้จะมีส่วนหนึ่งที่กระทบกับรุ่นคลิกแน่นอน ในขณะที่อีกส่วนจะไปกระทบกับฮอนด้าเวฟ แต่ส่วนที่กระทบนั้นเราเชื่อว่าไม่ใช่ส่วนใหญ่แน่นอน ในส่วนของที่ว่าแล้วเราจะสร้างไอคอนมาเพื่ออะไร ต้องบอกว่าจากที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าคู่แข่งปลุกกระแสออโตเมติกมาอีกครั้ง ทำให้คนที่ไม่เคยหันมามองรถจักยานยนต์ประเภทนี้ เริ่มสนใจและหาข้อมูลเพิ่มเติม และเราก็ตั้งใจไว้ว่าเราจะสามารถดึงเอาคนจำนวนเหล่านั้นให้มาขับไอคอนได้ โดยที่จะให้ไอคอนเป้นตัวเอดูเคทตลาดขณะที่คู่แข่งเป้นตัวดึงกลุ่มคนเหล่านั้นเข้ามา" นายธีระพัฒน์ กล่าวเสริม
นอกจากการเฉือดเฉือนในแง่การทำตลาดแล้วการใช้พรีเซ็นเตอร์ในการโฆษณา ก็ดูจะดุเดือดไม่แพ้กันเลยทีเดียว เพราะทางคู่แข่งใช้ศิลปินที่กำลังเป็นที่นิยมของวัยรุ่นฮอนด้าเองก็มีการคัดเลือกพรีเซ็นเตอร์ที่กำลังเป็นที่ชื่นชอบของวัยรุ่นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มศิลปินวงไนซ์ทูมีทยู (Nice 2 Meet U) นำโดยแจ็ค จารุพงศ์ กล้วยไม้งามและเชนธนา ลิมปยารยะ มาพร้อมกับกลุ่มศิลปินแบล็กวานิลา (Black Vanilla) ที่นำโดย แบ๊งค์อธิกิตติ์ พริ้งพร้อม และสาวหน้าใสอย่างสายป่าน อภิญญา สกุลเจริญสุข
+ รถกระเทยตลาดกำลังเลือนหรือเดินตามตลาดรถสปอร์ต
ในช่วงที่ตลาด"รถจักรยานยนต์ออโตเมติก"กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดแบบอัดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย อีกหนึ่งตลาดที่จะเคยเป็นผู้นำในสมรภูมิในอดีต กลับกำลังเงียบลงเนื่องจากความนิยมของตลาดถูกเทไปที่รถออโตเมติกกันหมด ตลาดที่ว่าคือ ตลาด" รถจักรยานยนต์แบบแฟมีลี่สปอร์ต" หรือ เรียกกันติดปากสั้นๆ ว่า "รถกระเทย"
ในอดีตช่วงที่รถแฟมิลี่ หรือ รถผู้หญิง นำโดย"ฮอนด้า"กำลังแข่งขันกันอย่างรุนแรงกับรถสปอร์ตหรือรถผู้ชายที่นำโดยยามาฮ่า แต่ดูเหมือนว่าช่วงนั้นรถสปอร์ตดูจะไม่ได้รับความสนใจมากนักเพราะการขับขี่ที่ยากและการไม่ประหยัดน้ำมัน ส่งผลให้รถแฟมิลี่เริ่มมีสัดส่วนในตลาดที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องทำให้ยามาฮ่าหันมาเล่นเกมเปิดตลาดใหม่ด้วยการผสมผสานข้อดีของทั้งรถสปอร์ตและรถครอบครับ จนกลายเป็นรถแฟมีลี่สปอร์ต
รถรุ่นแรกในตลาดสปอร์ตโมเป็ตหรือแฟมิลี่สปอร์ต ที่เราเรียกกันอยู่ในปัจจุบันเป็นของยามาฮ่าโดยมีชื่อรุ่น เบลล์ 80 (Belle 80) ได้รับความนิยม จนฮอนด้าส่งรถตระกูลโนวาจนทำให้ตลาดแฟมีลี่สปอร์ตตกอยู่ในมือของฮอนด้าตั้งแต่ยุคฮอนด้า โนวา มาจนถึงยุคฮอนด้า โนวา โซนิค ในปัจจุบัน
นับแต่รถกะเทย ถึงรถออโต เห็นได้ชัดว่าการเปิดตลาดส่วนใหญ่จะเป็นการออกแบบและคิดค้นโดย" ยามาฮ่า" แต่ในทางกลับกันผู้ที่ครองตลาดกลับเป็นฮอนด้าที่มีการตลาดล้ำลึก รวมไปถึงการได้ตัวแทนจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพมาด้วย
+ อนาคตสดใสของรถออโตเมติก
กล่าวกันว่าออโตเมติกเป็นรถที่ใครๆ ก็สามารถขับได้ทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิง ซึ่งตลาดรถที่ใหญ่ที่สุดคือ ตลาดรถครอบครัวก็เป็นลักษณะเดียวกันนี้คือขับง่ายทั้งผู้ชายและผู้หญิง จนมีการมองกันว่าอนาคตรถออโตเมติกอาจจะสามรถคว่ำตลาดยักษ์อย่างรถแฟมิลี่เหมือนที่ญี่ปุ่นและไต้หวันที่ทั้งตลาดมีแต่ออโตเมติกเท่านั้น
"ในเรื่องของออโตเมติกจะสามารถขึ้นมาเบียดหรือเทียบชั้นกับรถครอบครัวนั้น ผมมองว่าอาจจะมีความเป็นไปได้ แต่ยากมากๆ แม้ว่ารถแบบนี้จะสามารถขับได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ในส่วนที่จะให้ออโตเมติกเป็นแบบญี่ปุ่นหรือไต้หวันนั้น คงเป็นไปไม่ได้เนื่องจากการใช้รถของทั้ง 2 ประเทศนี้ไม่เหมือนกับบ้านเรา โดยทั้ง 2 ประเทศนั้นจะใช้รถเพื่อเดินทางไปต่อรถไฟฟ้าหรือเดินทางในระยะทางที่สั้นๆ แต่ในบ้านเรายังใช้รถเพื่อการเดินทางแบบจริงๆ โดยบางคนขับรถระยะทางถึง 100 กิโลเมตรต่อวันก็ยังมี" นายธีระพัฒน์กล่าว
ถึงอย่างไรก็ตามวัยรุ่นที่ขับขี่ในปัจจุบันโดยเฉพาะผู้หญิงก็จะได้ความสามารถในการขับขี่รถประเภทนี้ ซึ่งต่อไปในอนาคตข้างหน้าก็จะต้องมีครอบครัว และอาจจะใช้รถออโตเมติกในชีวิตประจำวันเหมือนที่หลายครอบครัวใช้รถประเภทครอบครัวทั้งในเรื่องการไปทำงาน, การจ่ายตลาดหรือแม้แต่การขับรถเล่นเพื่อความเพลิดเพลิน
"ถ้ามองอย่างนั้นก็อาจจะเป็นไปได้ แต่หากลองมองดูความเป็นจริงแล้ว รถออโตเมติกสิ้นเปลืองน้ำมันกว่ารถครอบครัวเนื่องจากสภาพของเครื่องที่ทำงานต่างกัน นอกจากนี้การให้ความปลอดภัยก็เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่รถครอบครัวมีนอกเหนือจากเรื่องของความประหยัด ดังนั้นการนำเงินไปทำอย่างอื่นน่าจะดีกว่ามาหมดกับการเติมน้ำมันเมื่อใช้รถออโตเมติก ผมจึงมองว่าออโตเมติกยังไม่น่าจะสามารถแทนที่ตลาดรถครอบครัวได้ในช่วงระยะ10 ปีข้างหน้านี้" นายธีระพัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
เห็นได้ชัดว่าแม้รถออโตเมติกจะได้รับความนิยมขนาดไหนก็ตามแต่ความต้องการเรื่องความประหยัดก็ยังเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการเสมอ
สงครามการสู้รบของ 2 ค่ายใหญ่จะออกมาในรูปแบบไหนคงไม่มีใครตอบได้ แต่จากการเปิดตัวรถไอคอนของฮอนด้าครั้งนี้ เชื่อได้ว่าฮอนด้าน่าจะเริ่มจริงจังกับตลาดนี้มากขึ้นถึงขนาดกล้าส่งรถรุ่นใหม่ที่คิดไว้แล้วว่าตัวเองอาจต้องบาดเจ็บบ้าง แสดงว่าการส่งไอคอนลงมาครั้งนี้ฮอนด้าต้องเตรียมแผนอะไรบางอย่างไว้เพื่อดับความร้อนแรงของคู่แข่ง
ในขณะที่ฟีโน่เองก็ได้ความแปลกใหม่และเป็นที่สนใจของตลาดอย่างมาก ดังนั้นในช่วงนี้เราจะได้เห็นแคมเปญใหม่ๆ ใหญ่ๆ ที่ออกมาสนับสนุนการขายของฟีโน่อย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นช่วงที่เรียกว่าสร้างยอดขายประกอบกับการที่ฟีโน่สามารถดึงความสนใจของคนที่ไม่เคยสัมผัสรถจักรยานยนต์ให้มาเหลียวมองได้ การเร่งทำตลาดกับคนกลุ่มเหล่านั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะคู่แข่งอย่างฮอนด้าก็มองคนกลุ่มนี้ไว้เช่นกัน อยู่ที่ว่ายามาฮ่าจะพลาดเมื่อไหร่