ร่วมงานกับเรา
ข่าวสารรถจักรยานยนต์ทั่วไป > 2550 > แพล็ตตินัมแตกไลน์ทำตลาดรถตู้ บุกเครื่องยนต์เอ็นจีวีเต็มสูบ
แพล็ตตินัมแตกไลน์ทำตลาดรถตู้ บุกเครื่องยนต์เอ็นจีวีเต็มสูบ
ที่มา - นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 15-18 พ.ย.50

"แพล็ตตินัม"แตกไลน์ส่งรถตู้ทำตลาด โวลูกค้าสั่งซื้อมากกว่าโควตานำเข้า แย้มปีหน้าถ้ารัฐประกาศให้สิทธินำเข้ารถเอ็นจีวีชัดเจน พร้อมเดินหน้าทำตลาดเต็มสูบ ส่วนตลาดมอเตอร์ไซค์ปีนี้ยังไม่กระเตื้อง โอดไฟแนนซ์เขี้ยวทำให้ยอดขายร่วง

นายสมคิด วิทยารักษ์สรรค์ กรรมการบริหาร บริษัท แพล็ตตินัม ออโต้ เซลล์จำกัด ผู้นำเข้ารถจักรยานยนต์ "แพล็ตตินัม" จากประเทศจีน เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า นอกจากบริษัทจะเป็นผู้นำเข้าและประกอบรถจักรยานยนต์จากประเทศจีนภายใต้แบรนด์ "แพล็ตตินัม" แล้ว ปัจจุบันบริษัทได้ขยายไลน์นำเข้ารถตู้จากประเทศจีนเข้ามาจำหน่ายภายใต้แบรนด์แพล็ตตินัมอีกด้วย

โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดจำหน่ายรถตู้ไว้ที่ 1,500 คัน หรือเฉลี่ยเดือนละ 300 คัน หลังจากวางตลาดมาตั้งแต่กลางปีนี้ หลังจากได้ผ่านการอนุมัติจากกรมการขนส่งทางบกแล้ว บริษัทจึงได้ส่งรถตู้ออกมาจำหน่ายทันที ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับค่อนข้างดีจากลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการรถตู้ และสมาคมรถตู้ไทยที่แสดงเจตจำนงต้องการซื้อรถตู้ของบริษัทอย่างน้อย 3,000 คัน

แต่เนื่องจากบริษัทมีข้อจำกัดในเรื่องของโควตาการนำเข้า เพราะโรงงานผู้ผลิตในประเทศจีนเองมีกำลังผลิตไม่เพียงพอกับความต้องการ บวกกับการที่บริษัทต้องการกระจายสินค้าไปยังลูกค้าในกลุ่มอื่นๆ ด้วย ทำให้ไม่สามารถส่งมอบรถให้กับสมาคมรถตู้ฯ เพียงรายเดียวได้ ดังนั้นบริษัทจึงได้ตั้งเป้ายอดจำหน่ายในปีนี้ไว้ที่ 1,500 คันเท่านั้น

"ใจจริงแล้วเราอยากจะส่งมอบรถให้กับสมาคมรถตู้ให้ได้เท่ากับความต้องการที่มีมากถึง 3 พันคัน แต่เนื่องจากข้อจำกัดในเรื่องจำนวนการนำเข้า ที่ปีนี้เราได้โควตามาแค่ 1,500 คันเท่านั้น เราจึงได้ตัดสินใจส่งมอบรถให้กับสมาคมไปจำนวนหนึ่ง และนำออกมาจำหน่ายให้กับลูกค้าทั่วไปอีกจำนวนหนึ่งด้วย เพื่อเป็นการแบ่งสันปันส่วนกันไป"

สำหรับรถตู้ที่บริษัทได้นำเข้ามาทำตลาดในปัจจุบันใช้ชื่อว่า "แพล็ตตินัม" ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2500 ซีซี พร้อมติดตั้งระบบเอ็นจีวี หลังคาสูง ประตูสไลด์ 2 ด้าน จำหน่ายในราคา 920,000 บาท โดยมียอดการจำหน่ายเฉลี่ยเดือนละประมาณ 300 คัน

ด้านแผนการดำเนินธุรกิจสำหรับรถตู้ในปีหน้า บริษัทจะยังไม่เดินหน้าทำตลาดอย่างเต็มรูปแบบมากนัก เนื่องจากต้องรอดความชัดเจนทางด้านการเมืองหลังการเลือกตั้งว่าจะเป็นอย่างไร รวมทั้งสถานการณ์ของธุรกิจสินเชื่อว่าจะมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากน้อยเพียงใด

รวมถึงความชัดเจนจากภาครัฐในการสนับสนุนนโยบายด้านภาษีให้กับรถยนต์ที่ติดตั้งเอ็นจีวี ว่าจะมีการให้สิทธิพิเศษอย่างเต็มรูปแบบหรือไม่ ซึ่งหากได้รับสิทธิประโยชน์ในการนำเข้าแล้ว บริษัทอาจจะนำเข้ารถตู้เอ็นจีวีมาเพื่อจำหน่ายทั้งคัน หรือหากยังไม่มีความชัดเจนบริษัทอาจจะดำเนินการประกอบขึ้นที่โรงงานจังหวัดระยอง

ในส่วนของตลาดรถบรรทุกที่บริษัทได้เริ่มทำตลาดไปก่อนหน้านี้ แม้ว่ายอดการจำหน่ายจะไม่ดีเท่าที่ควร คือ มียอดจำหน่ายอยู่แค่ประมาณ 200 คัน ซึ่งน้อยกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 1,000 คันในปีนี้ ส่วนยอดจำหน่ายของรถจักรยานยนต์ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 20,000 - 30,000 คัน หรือเฉลี่ยเดือนละ 2,000-3,000 คันต่อเดือน และยอดการส่งออกไปจำหน่ายยัง พม่า ลาว กัมพูชาอีกเดือนละ 400- 500 คัน โดยส่งออกโดยตัวแทนจำหน่ายของบริษัท

สำหรับปัญหาของตลาดรถจักรยานยนต์ คือ ที่ผ่านการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้านั้น บริษัทไฟแนนซ์มีความเข้มงวดเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากในช่วงระยะเวลา 9-10 เดือนที่ผ่านมาตลาดรถจักรยานยนต์มีอัตราการเติบโตลดลง 17-18% ซึ่งปัจจัยหลักส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเข้มงวดของบริษัทไฟแนนซ์นั่นเอง นอกจากนั้น ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ทำให้เกิดภาวะการชะลอการตัดสินใจซื้ออกไปเพื่อรอดูความชัดเจนต่างๆ

ปัจจุบันบริษัทมีโชว์รูมและศูนย์บริการอยู่ทั้งหมด 125 แห่งทั่วประเทศ และมีแผนที่จะขยายเพิ่มในปีหน้า แต่ทั้งนี้คงจะต้องรอดูสถานการณ์ความชัดเจนในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งนักลงทุนต่างให้ความสำคัญอย่างยิ่ง

"วันนี้บรรดานักธุรกิจต่างก็ต้องการรอดูความชัดเจนทางการเมืองกันทั้งนั้น เพราะถ้ามองในแง่ลบมากๆ หากมีการปฏิวัติขึ้นอีกรอบ เชื่อว่านักลงทุนจากญี่ปุ่นจะต้องหนีจากบ้านเราอย่างแน่นอน และจากความไม่ชัดเจนดังกล่าว ก็ส่งผลให้เราต้องชะลอแผนการขยายเพิ่มโชว์รูมและศูนย์บริการออกไปด้วย" นายสมนึกกล่าว