หลังจากเข้ามาบุกบ้านเรา เมื่อ 25 ปีก่อน จนสามารถก้าวขึ้นครองแชมป์ค่ายรถจักรยานยนต์ที่มียอดขายสูงสุดต่อเนื่อง เป็นปีที่ 22 ติดต่อกัน อะไรคือความสำเร็จ ของ เอ.พี. ฮอนด้า และภาพจากนี้ ค่ายมอเตอร์ไซค์เบอร์หนึ่งจะเดินไปทิศทางใด วันนี้ "จิอากิ คาโต" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ให้คำตอบไว้อย่างน่าสนใจ
- ภาพความสำเร็จของปีที่ผ่านมา
สำหรับปี 2553 ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังต้องเผชิญภาวะวิกฤตเมื่อปี 2548 พร้อมทั้งยังได้เกิดความเปลี่ยนแปลงหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อย่างยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น ซึ่งเคยเป็นประเทศขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกชะลอการเติบโต โดยที่ภาพของการขับเคลื่อนได้ย้ายมาอยู่ในประเทศเอเชียและอาเซียน อย่างจีน อินเดีย เวียดนาม และไทย ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและขับเคลื่อนไปได้อย่างคล่องตัว
ส่วนเศรษฐกิจของประเทศไทยนั้น แม้ว่าปีที่ผ่านมาจะยังมีปัจจัยลบอย่างเรื่องการเมืองและภาวะน้ำท่วม แต่ก็ยังไม่ได้ ส่งผลสะเทือนต่อตลาดแม้แต่น้อย เนื่องจากยังมีปัจจัยบวกจากสินค้าราคา พืชผลทางการเกษตร และแรงสนับสนุนจากตลาดส่งออก ช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยเดินรุดหน้าอย่างรวดเร็ว
เห็นได้จากยอดขายรถจักรยานยนต์ ในปีที่ผ่านมา เทียบกับปี 2552 มีอัตราการเติบโตถึง 120% มียอดขายที่ 1.85 ล้านคัน โดยฮอนด้ามียอดขายที่ 1.26 ล้านคัน โตสูงถึง 124% และมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 68%
ส่วนในปีนี้คาดการณ์ตัวเลขตลาดรวมรถจักรยานยนต์ที่ 1,900,000 คัน หรือเติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว 102% โดยฮอนด้า ตั้งเป้าการขายที่ 1,330,000 คัน
- กลยุทธ์ขับเคลื่อนความสำเร็จจากนี้
ถ้ามองจากเมื่อปี 2553 แล้ว โดย ส่วนตัวผมมองว่าฮอนด้ายังมีสิ่งที่จะต้องทบทวนและแก้ไขอีกหลายอย่าง ช่วงตลอดเวลาเกือบปีเต็มที่ ผมมานั่งดูแลตลาดตรงนี้ ได้มีการออกไปพบปะดีลเลอร์ รับฟัง ข้อเสนอแนะ เห็นรูปแบบการทำงานต่าง ๆ ทำให้วันนี้เราต้องมองประเด็นจากอดีต และอนาคตเรื่องสิ่งแวดล้อม สะท้อน มุมมองของดีลเลอร์ มากำหนดเป็นกลยุทธ์ของการดำเนินธุรกิจ ที่จะนำเราไปสู่ความเป็นผู้นำอย่างแท้จริงและเป็นองค์กรที่ยืนยงกับแผนระยะกลาง 3 ปี จากปี 2554-2556 โดยปีนี้ถือเป็นปีแห่ง
การเริ่มต้นธุรกิจอีก 10 ปีข้างหน้า และเป็นปีเริ่มต้น "แผนระยะกลาง 3 ปีฉบับใหม่" ของ เอ.พี. ฮอนด้า ซึ่งเราได้กำหนดเป้าหมายมุ่งสู่การเป็น "ผู้นำอย่างแท้จริง" เพื่อผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ๆ
คือ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหนือความคาดหมายของตลาด, การเป็นแบรนด์ อันดับหนึ่งในทุก ๆ ด้าน และการขยายความพึงพอใจสูงสุดของผู้ใช้และสังคม โดย ภายใต้กลยุทธ์นี้เรามีแผนการวางจำหน่ายรถรุ่นใหม่ ๆ จำนวน 12 รุ่นในระยะเวลา 3 ปี และขยายเครือข่ายการขายให้ได้ 1,300 แห่งภายในปี 2013 โดยรถรุ่นแรกของแผนครั้งนี้ คือการปรับโฉมของ ฮอนด้าเวฟ 110 ไอ
- ในแง่ของสินค้า อะไรคือสิ่งที่ต้องเพิ่มเติม
การนำเสนอสินค้าของฮอนด้าจากนี้ไป เราจำเป็นจะต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ที่ผ่านมามอง 3 ด้าน คือ 1.เพิ่มความ แข็งแกร่งไลน์อัพของสินค้าในปัจจุบัน อย่าง เมื่อปี 2548 เราได้เปิดตลาดรถหัวฉีด และเมื่อปีที่ผ่านมารถฮอนด้าทุกรุ่นเปลี่ยนเป็นระบบหัวฉีดทั้งหมดแล้ว และ 2.การวางจำหน่ายสินค้าเพื่อสร้างเทรนด์ อย่าง Big Bike, Fun Product, PCX และ 3.การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ แม้หลายคนจะมองว่าตลาดรถจักรยานยนต์บ้านเราถึงจุดอิ่มตัวแล้ว และฮอนด้าไม่เชื่ออย่างนั้น เพราะยังมีลูกค้าอีกจำนวนมากที่มีความต้องการ และเราเตรียมนำเสนอรถประเภท commuter ไว้ตอบสนองความต้องการโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น
- การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในทุกด้าน
ปัจจุบันเราเป็นองค์กรที่ใหญ่สุดของธุรกิจรถจักรยานยนต์ ดังนั้นสิ่งที่เรามุ่งมั่นคือการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับ ลูกค้าทุกระดับ รวมถึงกลุ่มที่ไม่ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วย พร้อมนำเสนอความสนุกที่เหนือความคาดหมาย จากนี้ไปเราก็จะเน้นกลยุทธ์มุ่งเจาะตลาดกลุ่มวัยรุ่นเป็นพิเศษ ควบคู่ไปกับการขยายความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าและสังคม ภายใต้แนวคิด "ปฏิรูปไปสู่ชนรุ่นหลัง"
พร้อมทั้งเผยแพร่เรื่องการขับขี่ปลอดภัย และการทำกิจกรรมสังคมให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยจะเพิ่มจำนวนร้าน Honda Wing Center ที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันเป็น 900 แห่ง และ Wing Shop ในรูปแบบ 3S ใหม่อีก 400 แห่ง รวมทั้งเพิ่มร้านเครือข่ายผู้จำหน่ายให้ได้ 1,300 แห่งภายในปี 2013 นอกจากนี้จะเสริมความแข็งแกร่งในการทำกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ขับขี่ปลอดภัย และทำกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกับร้านผู้จำหน่ายในรูปแบบใหม่ให้ดียิ่งขึ้น และฮอนด้าจะเป็นผู้นำที่มีความแข็งแกร่ง ในฐานะของผู้นำตลาดอย่างแท้จริง
- คาดหวังกับรถรุ่นใหม่ ๆ อย่างไร
อย่างที่บอกว่า เรามีแผนการวางจำหน่ายรถรุ่นใหม่ ๆ จำนวน 12 รุ่นในระยะเวลา 3 ปี อย่างรุ่นแรกที่เราประเดิมคือ ฮอนด้าเวฟ 110 ไอ ระบบหัวฉีด PGM FI รถยอดนิยมที่มียอดจำหน่ายสูงสุดมากกว่า 8 ล้านคันเป็นระบบหัวฉีด PGM FI ยุคใหม่ที่พัฒนามาถึงยุคที่ 4 ที่ทำให้สมองกล (ECU) ควบคุมการทำงานได้ดีขึ้น และ ลดอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นลง เพื่อให้บำรุงรักษาได้ง่ายยิ่งขึ้น สามารถถอดเปลี่ยนกรองน้ำมันได้ เพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้ใช้มากยิ่งขึ้น
และที่สำคัญประหยัดน้ำมันสูงสุด มีให้เลือก 3 รุ่น คือ รุ่นดิสก์เบรกหน้า/ สตาร์ตมือ, รุ่นดิสก์เบรกหน้า/สตาร์ตเท้า และรุ่นดรัมเบรก/สตาร์ตเท้า โดยมีราคาจำหน่ายท้องตลาดสำหรับรุ่นยอดนิยมที่มีผู้ใช้สูงสุดคือรุ่นดิสก์เบรกหน้าสตาร์ตเท้าโดยประมาณที่ 38,400 บาท และจะวางจำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่ 14 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป